
12 มิถุนายน 2568 คณะกรรมการแพทยสภา ประชุมพิจารณาลงมติชี้ขาดการลงโทษแพทย์ 3 คน กรณีการรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ภายหลังนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ วีโต้(ยับยั้ง) มติการลงโทษดังกล่าว ทั้งนี้ แพทย์ 3 คน ที่คณะกรรมการแพทยสภามีมติลงโทษ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ประกอบด้วย พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ แพทย์ รพ.ราชทัณฑ์ เห็นควรให้ ว่ากล่าวตักเตือน
ส่วนอีก 2 คน เห็นควรพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม มี พล.ต.ท. นพ.โสภณรัชต์ สิงหจารุ อดีตแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.นพ.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ แพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ คนปัจจุบัน
ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภา คนที่ 1 แถลงข่าวภายหลังการประชุมลงมติกรณีที่ นายสมศักดิ์เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ มีการวีโต้มติของแพทยสภา ซึ่งสั่งลงโทษแพทย์ 3 คน ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่โรงพยาบาลตำรวจ การประชุมในวาระดังกล่าว มีกรรมการแพทยสภาเข้าร่วมประชุมจำนวน 68 คน จากจำนวนกรรมการแพทยสภาที่มีสิทธิ์ลงคะแนนทั้งสิ้น 69 คน ได้ยับยั้งมติของสภานายกพิเศษ
ซึ่งมีมติด้วยคะแนนเสียงเกินกว่า 2 ใน 3 ของคณะกรรมการแพทยสภาที่มีสิทธิ์ลงคะแนนได้ ถือเป็นการยืนยันตามมติเดิมของคณะกรรมการแพทย์พฤษภาคมเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 โดยหลังจากนี้แพทยสภาจะออกคำสั่งบังคับตามมติและแจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทราบ
ศ.นพ.ประสิทธิ์ ได้ตอบคำถามสื่อเพิ่มเติม ในประเด็นการออกคำสั่งลงโทษแพทย์ทั้ง 3 คน ว่า จะออกคำสั่งได้ในวันพรุ่งนี้ (13 มิ.ย.) เพราะวันนี้กรรมการแพทยสภามีการรับรองมติแล้ว ก็สามารถดำเนินการได้ทันที ส่วนการประชุมของกรรมการแพทยสภาวันนี้ เป็นกระบวนการที่รับฟังความคิดเห็นอย่างชัดเจน ซึ่งนายสมศักดิ์ ในฐานะสภานายกพิเศษ ได้มาให้ความคิดเห็นต่อการวีโต้คำสั่งแพทยสภา
ขณะเดียวกันกรรมการแพทยสภาทุกท่าน ที่อาจไม่ได้เข้าประชุมในครั้งที่แล้ว ได้รับเอกสารที่นายสมศักดิ์ได้วีโต้ เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ซึ่งวันนี้กรรมการแพทยสภาได้นำข้อมูลดังกล่าว มาเปรียบเทียบให้เห็นระหว่างมติกรรมการแพทยสภาว่าเป็นอย่างไร และการวีโต้คำสั่งของนายสมศักดิ์เป็นอย่างไร ก่อนจะมีการวิเคราะห์ ซึ่งกรรมการแพทยสภาเมื่อเห็นข้อมูลเหล่านี้แล้ว ก็จะใช้ดุลยพินิจของตัวเอง ก่อนจะมีมติออกมา เพราะฉะนั้นวันนี้ ตนคิดว่าป็นกระบวนการที่โปร่งใส่และชัดเจน เนื่องจากกรรมการทุกท่านได้ใช้ดุลยพินิจของตัวเอง
ส่วนกรณีที่นายทักษิณอ้างว่า มีแชทหลุมของหนึ่งกรรมการแพทยสภา ส่งสติ๊กเกอร์คำว่า YES ตอบรับข้อความที่ตำหนินายทักษิณ ศ.นพ.ประสิทธิ์ ชี้แจงว่า ก่อนหน้าที่ไม่มีการโต้ตอบใดๆ แต่วันนี้จะขอชี้แจงว่า ข้อมูลดังกล่าวอยู่ในไลน์กลุ่มอื่น ที่ไม่ใช่กลุ่มไลน์ที่เป็นทางการของแพทยสภา พร้อมตั้งข้อสังเกตว่ารูปแชทดังกล่าว ได้ลบชื่อห้องกลุ่มไลน์ออก ซึ่งสมาชิกในห้องไม่ใช่กรรมการแพทยสภา และมีการกล่าวถึงนายทักษิณ ก่อนที่จะมีกรรมการแพทยสภาส่งสติ๊กเกอร์ไลน์คำว่า YES ตอบกลับไป แต่ไม่ได้หมายความว่าเห็นด้วย เป็นเพียงการตอบรับเท่านั้น เหมือนที่หลายๆ คนคงทำตอนมีข้อความส่งมา
หากถามว่ากรณีดังกล่าวจะกระทบกัยการทำหน้าที่หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ใช่ และที่สำคัญการพิจารณาวาระนี้ ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าใครคือผู้ป่วย เป็นการพิจารณาตามหลักการ และวิชาการ และปลอดจากปัจจัยรอบด้าน
เมื่อถามถึงผลการลงคะแนนของแพทยสภา 2 ใน 3 คือกี่คะแนน ศ.นพ.ประสิทธิ์ ระบุว่า หากให้พูดตามตรง มันไม่ใช่แค่เกิน 2 ใน 3 เพราะเราพิจารณาเป็นรายกรณี ทั้งสามกรณี ซึ่งแต่ละกรณีกรรมการแพทยสภาที่เห็นชอบกับมติเดิมเกิน 60 เสียงขึ้นไป ที่สามารถออกเสียงได้ 69 เสียง ย้ำว่าวันนี้ชัดเจนมากในเหตุผลของการลงมติ
เมื่อถามถึงกรณีที่ นายสมศักดิ์ คำพิพากษาของศาลปกครองไปในคำชี้แจง เรื่องนี้มีข้อน่ากังวลหรือไม่ ศ.นพ.ประสิทธิ์ ระบุว่า ไม่กังวล เพราะการพิจารณาของคณะกรรมการสอบสวน มีการประชุมทั้งหมด 10 ครั้ง แต่ละครั้งก็ใช้เวลาตั้งแต่ 1-6 ชั่วโมง และในความเป็นจริงมีแค่ 3 ครั้งเท่านั้น ที่ได้รับเอกสารเพิ่มเติมช่วงเดือนเมษายน แต่หากนับเวลาการทำงานทั้งหมดก็กว่า 60 ชั่วโมง ในเวลา 4 เดือน และในวันนี้เราใช้เวลาพิจารณาซ้ำอีก จากวันที่ 8 พฤษภาคม ซึ่งคิดว่าใช้เวลาไปพอสมควร
ส่วนกรณีที่มีการเรียกร้องให้เปิดเผยชื่อของแพทย์ที่มีการลงมติ ศ.นพ.ประสิทธิ์ ระบุว่า การที่แพทย์จากหลากหลายสถาบันหลากหลายรุ่น รวมทั้งประชาชนคนไทยกว่า 50,000 คนที่ลงนาม ต้องการให้แพทยสภายึดมั่นและยืนหยัดในความถูกต้อง และรักษาไว้ซึ่งจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ ยืนยันว่าเป็นสิ่งที่กรรมการทุกท่านได้ตระหนัก และตั้งใจจะทำอย่างนั้นอยู่แล้ว และมองว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แรงกดดันแต่เป็นกำลังใจ เพราะเป็นสิ่งที่เราอยากทำและชอบด้วยการกระทำ
“แต่มีบางกลุ่มที่ใช้กลไกบางอย่าง พยายามจะทำให้คณะกรรมการแพทยสภา ไม่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง และขัดกับจรรยาบรรณวิชาชีพ คือทำให้เราทำในสิ่งที่ไม่ต้องการทำ แบบนี้ถึงจะเรียกว่ากดดัน หรือในบางกรณีอาจจะเรียกว่าเป็นการข่มขู่ด้วยซ้ำ"
นอกจากนี้ยังใช้โอกาสในการขอบพระคุณแพทย์และคนไทยทั้งหลาย ที่แสดงออกชัดเจนว่า อยากให้แพทยสภาดำรงไว้ซึ่งความถูกต้อง และรักษาไว้ซึ่งจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ ณ วันนี้พวกเรากรรมการแพทยสภา ได้ทำสิ่งเหล่านั้นแล้ว ก็ขอให้สิ่งเหล่านี้ส่งกลับไปยังทุกท่านว่า สิ่งที่ท่านให้กำลังใจมาส่งผลแล้ว
ส่วนรายชื่อแพทย์ที่ถูกลงโทษอย่างเป็นทางการ และโทษของแต่ละคนสามารถจะเปิดเผยได้หรือไม่ ศ.นพ.ประสิทธิ์ ระบุว่า วันนี้อยากแถลงในภาพรวม เพราะส่วนตัวมองว่า การแจ้งชื่อออกไปวันนี้ไม่ได้มีความเหมาะสม แต่ยืนยันว่ากระบวนการชัดเจนอยู่แล้วว่า ใครถูกลงโทษเท่าไหร่ ซึ่งก็จะดำเนินการตามนั้นและขอให้รอออกคำสั่งเรียบร้อยก่อน
ส่วนหลังจากนี้หากผู้ที่ถูกลงโทษไปร้องต่อศาลปกครอง กระบวนการจะเป็นอย่างไรต่อไป ศ.นพ.ประสิทธิ์ ระบุว่า เมื่อเข้าสู่กระบวนการของศาลปกครอง แต่ในส่วนของแพทยสภาก็จะเดินตามกระบวนการของตุลาการเข้าไปชี้แจง ซึ่งเป็นไปตามธรรมาภิบาลของประเทศนี้ หากเห็นว่าไม่ถูกก็สามารถไปร้องได้หน้าที่ของเราก็แค่ไปอธิบายให้ศาลได้รับทราบ
ขณะเดียวกัน ศ.นพ.ประสิทธิ์ ยังระบุว่า แพทยสภาจะมีการพิจารณาเพิ่มเติม นอกจากสามแพทย์ที่ได้รับการลงโทษในวันนี้ว่า มีใครเกี่ยวข้องกับกระบวนการอีกหรือไม่ ส่วนที่นายสมศักดิ์ออกมาระบุว่า คำวินิจฉัยในวันนี้ จะเป็นการสร้างมาตรฐานให้กับแพทย์รุ่นใหม่ และอาจจะกลัวในการทำหน้าที่ของตนเอง ศ.นพ.ประสิทธิ์ ยืนยันว่า ไม่ว่าจะเป็นแพทย์รุ่นใหม่หรือแพทย์รุ่นเดิม เราได้รับการสั่งสอนมาเหมือนกันเราเข้าใจ จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพและความถูกต้อง ในบทบาทหน้าที่เหมือนกัน แต่ขอย้ำว่า ณ วันนี้เราทำตามสิ่งที่เราถูกสอน เชื่อว่าแพทย์ทั้งหลายที่เรียนอยู่ ก็ได้เห็นกรณีนี้เป็นกรณีศึกษาต่อไปว่า บทบาทของแพทย์มีมากมาย ไม่ใช่รักษาคนไข้เพียงอย่างเดียว คือการรักษาไว้ซึ่งมาตรฐานการรักษา