
31 พฤษภาคม 2568 แผลทางการเมืองของ อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เกี่ยวกับปมชั้น 14 ที่ขยายวงกว้าง เมื่อ “ศึกแชทไลน์แพทยสภา” กำลังบานปลาย และอาจกลายเป็น “น้ำผึ้งหยดเดียว” ที่ลุกลามไปเป็นปัญหาการเมืองภาพใหญ่ได้เหมือนกัน
- เรื่องนี้ไม่ใช่ “ไลน์หลุด” ในความหมายของการนำแชทในไลน์กลุ่ม มาแฉต่อสาธารณะ แต่เป็นข้อความใน “ไลน์กลุ่มกรรมการแพทยสภา” ที่รั่วไปถึงอดีตนายกฯ ทักษิณ จึงเป็น “ไลน์รั่ว” ไม่ใช่ ”ไลน์หลุด”
- ยังไม่มีการเปิดเผยเนื้อหาต้นฉบับ หรือภาพข้อความในไลน์รั่วของจริง ว่าระบุว่าอย่างไรกันแน่ มีเพียงคำกล่าวอ้างของนายทักษิณ ระหว่างตอบคำถามสื่อมวลชนหลังปาฐกถาพิเศษที่สำนักงาน ป.ป.ส. เมื่อวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา
“บางคนไลน์กลุ่มหลุดออกมา แพทยสภาบางคนด่าผมอยู่ในไลน์กลุ่ม แล้วแพทยสภาอีกคนหนึ่งก็ตอบเป็นสติกเกอร์ไปว่า YES ซึ่งยังไม่ทันพิจารณาเลย อย่างนี้เรียกว่าจริยธรรมมีปัญหาเสียเอง”
- “ทีมข่าวข้นคนข่าว” ได้มีโอกาสพูดคุยสอบถามเรื่องนี้โดยตรง จากอดีตนายกฯ ทักษิณอีก 2 ครั้ง ได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า
**ข้อความที่มองว่าเข้าข่ายไม่มีจริยธรรมนั้น คือ การส่งข้อความทำนองว่า “ไม่ชอบทักษิณ และอยากให้กลับไปติดคุก”
**จากนั้นก็มีคนส่งสติ๊กเกอร์ตอบว่า YES
**โดยคนที่ส่งข้อความแรก เป็นกรรมการแพทยสภา สัดส่วนจากสถาบันการศึกษาแพทยศาสตร์ของทหาร
** ส่วนคนที่้ตอบข้อความเป็นสติ๊กเกอร์ เป็นกรรมการแพทยสภาที่เป็นสุภาพสตรี
- คุณทักษิณบอกว่า พร้อมจะเปิดข้อความจากแชทไลน์นี้ หากแพทยสภายังยืนยันมติลงโทษแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับกรณีชั้น 14
- คุณทักษิณ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ข้อความในแชทไลน์ที่ตนมองว่ามีปัญหาจริยธรรม ยังมีอีกหลายข้อความ และพร้อมเปิดเผยหากจำเป็น
เป้าหมายของคุณทักษิณ ที่ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ และอาจจงใจใช้เวทีที่สำนักงาน ป.ป.ส. เปิดแนวรบกับแพทยสภาเลยด้วยซ้ำ ก็เพราะมติของแพทยสภา คือจุดชี้เป็นชี้ตาของคุณทักษิณ กรณีชั้น 14
-เป้าหมายแรกจึงต้อง “ดิสเครดิต” มติแพทยสภา
-เป้าหมายต่อไป คือ ต้องการให้การยืนยันมติ หลัง “สภานายกพิเศษแห่งแพทยสา” คุณสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข วีโต้มติไปแล้ว มีความอิหลักอิเหลื่อ และทำให้กรรมการจำนวนหนึ่งลังเลในการยืนยันมติ
-เป้าหมายที่ไกลกว่านั้น คือ การสกัดในแง่ “กระบวนการ” ให้ยืดเยื้อที่สุด เพื่อไม่ให้มติแพทยสภาถูกส่งไปเป็นหลักฐานในการไต่สวนของศาลฎีกานักการเมือง กรณีบังคับโทษคุณทักษิณแล้วหรือยัง
-เป้าหมายสุดท้าย คือ ฟ้องล้มมติแพทยสภาให้เป็นโมฆะ หรือใช้การไม่ได้ ตามมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
ปัญหาของแพทยสภา คือ มีสภาพคล้ายๆ ศาลปกครองชั้นต้น หรือ ศาลปกครองกลาง เทียบได้กับ คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ หรือ กพค.ตร. ฉะนั้นตัวกรรมการจะออกมาโต้แย้งข้อกล่าวหาของคุณทักษิณไม่ได้
ยิ่งโต้ยิ่งขัดมาตรา 16 พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ
จุดนี้จึงเหมือนเป็นจุดอ่อนของกรรมการแพทยสภา
เหตุนี้เองจึงมีการพลิกเกมต่อสู้ ด้วยการใช้กระแสสังคมกดดัน โดยเฉพาะสังคมแพทย์ พยาบาล รวมถึงสังคมคนทั่วไป เพื่อสนับสนุนมติแพทยสภา
หนึ่งในผู้ที่ออกมาขับเคลื่อนเรื่องนี้ คือ คุณวิรังรอง ทัพพะรังสี ประธานเครือข่ายมหาวิทยาลัยเพื่อการปฏิรูปประเทศ ได้เปิดแคมเปญเชิญชวนพี่น้องประชาชน ร่วมลงรายชื่อสนับสนุน “แพทยสภา” ขอให้ยืนยันในมติเดิม กรณีลงโทษตักเตือนกับพักใช้ใบอนุญาตแพทย์ที่รักษา นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ชั้น14 โรงพยาบาลตำรวจ รวมไปถึงขอให้ยึดความถูกต้องและจริยธรรมทางการแพทย์เป็นหลักในการลงมติ
เหตุผลของการล่าชื่อ คือ การส่งข้อความแชทในไลน์กลุ่ม ไม่ได้เกี่ยวหรือมีผลอะไรกับการลงมติลงโทษแพทย์กรณีชั้น 14 เพราะพิจารณาไปตามหลักฐานว่าด้วยอาการป่วย ฉะนั้นไม่ควรนำ 2 เรื่องนี้มาเกี่ยวโยงกัน
ที่ผ่านมามีรายชื่อกลุ่มแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิจากสถาบันการศึกษาชั้นนำทั่วประเทศร่วมลงชื่อจำนวนมาก
วันนี้ เวลา 4 โมง 17 นาที หรือ 16.17 น. คุณวิรังรอง โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กของตนเองว่า “20,313 รายชื่อ ณ เวลา 4 โมง 17 นาที ท่านยังสามารถลงชื่อ ได้ที่ลิงก์นี้ค่ะ....
https://docs.google.com/.../1FAIpQLSc8DgZ37DYlje.../viewform
ขอบพระคุณทุกท่านที่ได้ร่วมลงชื่อ ให้กำลังใจแพทยสภาค่ะ”
ก่อนหน้านี้ราวๆ 10 ชั่วโมง คุณวิรังรอง โพสต์ข้อความว่า คุณหมอยง ภู่วรวรรณ ท่านมาลงชื่อแบบเรียบง่าย เป็นลำดับที่ 10,162 โดยที่ท่านไม่ได้ใส่คำนำหน้า ดิฉันเลยต้องขออนุญาตท่านผ่าน Facebook นี้ ใส่คำนำหน้าให้ท่านว่า "ศาสตราจารย์ นายแพทย์" ดีใจที่มีคุณหมอหลายท่านมาลงชื่อกับพวกเรา...
โดยคุณหมอยง ภู่วรวรรณ เป็นนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ และหัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก / มีบทบาทสูงมากในการให้ข้อมูลและองค์ความรู้กับสังคมในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่่อหลายปีก่อน
ความอ่อนไหวของสถานการณ์นี้ก็คือ การเปิดศึกจริยธรรมแพทยสภาของอดีตนายกฯทักษิณ อาจส่งผลลุกลามให้เกิดกระแสต้านกับตัวคุณทักษิณเอง ในหมู่แพทย์ และบุคลากรด้านสาธารณสุข ซึ่งถือเป็นกลุ่มคนมีความรู้ที่ได้รับการยอมรับนับถือจากสังคม
เรื่องนี้จึงสุ่มเสี่ยงเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว บานปลายเป็นปัญหาการเมืองในเรื่องอื่น หรือลุกลามเป็นม็อบนอกสภาได้เหมือนกัน หากมีปัจจัยอื่นเกื้อหนุนที่มีน้ำหนักมากพอ