
7 พฤษภาคม 2568 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) กลุ่มคณะ สว.สำรอง นำโดย พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว กล่าวถึงการดำเนินคดีฮั้วเลือก สว.ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ ทำหนังสือลับถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย พบกลุ่มบุคคลอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนสิทธิพิเศษ (ดีเอสไอ) บังคับอดีตผู้สมัคร สว. 2 คนให้ยอมรับว่าฮั้ว สว. ที่ จ.อำนาจเจริญ ว่า จ.อำนาจเจริญ ได้มีการขยับในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากมีกระบวนการในการจัดขบวนการฮั้ว สว.ค่อนข้างชัดเจน มีกลุ่มนักการเมืองใหญ่ในพื้นที่เข้าไปบงการ มีทั้งข้าราชการ ฝ่ายปกครอง หรือตำรวจ เข้าไปร่วมด้วย อีกทั้งมีการเกณฑ์คนไปสมัครคัดเลือกเป็น สว. เพื่อบริหารจัดการแบ่งกลุ่มดูแลกันเป็นรายอำเภอ อีกทั้งมีการจ่ายเงินจ่ายทองกันด้วย
พล.ต.ท.คำรบ กล่าวว่า ใน จ.อำนาจเจริญ มีนักการเมืองใหญ่ดูแล นอกจากจะดูแลในจังหวัดดังกล่าวแล้ว ยังเป็นแกนหลักในการบริหารจัดการการฮั้ว สว.ของกลุ่มขบวนการนี้ทั้งประเทศด้วย
เนื่องจากพบข้อมูลว่า กลุ่มเครือข่ายดังกล่าวที่เป็นตัวแทนในแต่ละจังหวัดจะต้องส่งรายชื่อเข้ามาพร้อมหมายเลข เพื่อที่จะให้กลุ่มผู้บงการได้กำหนดว่าใครควรจะเป็น สว. ซึ่งต้องส่งผ่านนักการเมืองใหญ่ ใน จ.อำนาจเจริญ โดยเป็นคนรวมโผเพื่อส่งต่อให้ผู้มีอำนาจเลือกว่าเบอร์ไหน ใครควรจะได้เป็น สว. แล้วค่อยมารวมเป็นตารางโพย เพราะฉะนั้นคำว่าโพยมีที่มาจาก จ.อำนาจเจริญ ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นทางในการรวมโพยทั้งหมด
"เรื่องนี้มีการสืบสวนสอบสวนจากดีเอสไอ ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ จึงมีการร้อนตัว ซึ่งพบว่ารองผู้ว่าฯ จ.อำนาจเจริญ ก่อนหน้านี้ ก่อนหน้านี้วันที่ 13 มี.ค. 2568 ได้ทำบันทึกฉบับหนึ่งไปถึงกระทรวงมหาดไทย เพื่อหารือว่า ถ้าหากดีเอสไอเข้ามาตรวจสอบจะวางแนวทางว่าอย่างไร คงจะร้อนตัวตั้งแต่ช่วงนั้นแล้ว
แล้ว กระทรวงมหาดไทย เองก็มีการยกร่างหนังสือฉบับหนึ่ง ที่เป็นแนวทางในการปฏิบัติของอำเภอหรือจังหวัดต่างๆ แต่ปรากฏว่าหนังสือฉบับนั้นตนก็เห็นฉบับร่างเช่นกัน แต่ที่มาที่ไปก็มาจากเหตุการณ์ที่ จ.อำนาจเจริญ
ผมขอฝากไปถึงข้าราชการฝ่ายปกครอง รวมถึงตำรวจในหลายพื้นที่ เนื่องจากมีหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองและนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 22 (17) นายตำรวจหรือฝ่ายปกครอง ต้องปฏิบัติตาม และให้ความช่วยเหลือกับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ หากได้รับการประสานงานร่วมมือ ท่านต้องให้ความร่วมมือ
แต่ถ้าไม่ให้ความร่วมมือ ขัดขืน ขัดขวางหรือมีพฤติการณ์ช่วยเหลือผู้ที่กระทำความผิดให้ได้รับโทษน้อยลง ก็จะมีความผิดตามมาตราดังกล่าว และนำไปสู่ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีอัตราโทษจำคุก 1-10 ปี และผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 200 เพราะฉะนั้นการที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ให้สัมภาษณ์ไปนั้น ก็เป็นไปตามกฎหมายแล้ว" พล.ต.ท.คำรบ กล่าว