
4 พฤษภาคม 2568 จากเหตุการณ์ความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและรุนแรงมากขึ้นในห้วงเวลานี้ ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำเสนอบทความและข้อสังเกตเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้
สำหรับคนที่สนใจติดตามสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคมที่ผ่านมา ดูจะเป็นวันแห่งความเศร้าสลดใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ถูกสังหารรายแรกของวันนั้น เป็นคุณยายวัย 76 ปี ที่ตาบอดทั้ง 2 ข้าง (ผู้เสียชีวิตนอนกอดไม้เท้าช่วยเดินอยู่ข้างกาย) และบุตรชายที่มีอาการพิการทางสมอง แต่พยายามพาผู้เป็นแม่ที่ตาบอดไปหาหมอ ถูกยิงบาดเจ็บ
ผู้ถูกสังหารรายต่อมาเป็นคุณลุงอายุ 70 ปี รายต่อมาเป็นเด็กหญิงอายุ 9 ขวบและคนในครอบครัว ถูกยิงเสียชีวิตขณะนั่งดูทีวีในบ้าน ตามมาด้วยการทำร้ายผู้บาดเจ็บอีกหลายราย
ก่อนเกิดเหตุชุดนี้ ก็มีเหตุการณ์สะเทือนใจที่สามเณรถูกยิงเสียชีวิตขณะที่โยมพ่อไปรับกลับออกมาจากวัด พร้อมพระและเณรรูปอื่นๆ
หรือความหวังในช่วง “เดือนรอมฎอน” อันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของพี่น้องมุสลิมในการถือศีลอด ทำให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) พยายามนำเสนอ “รอมฎอนสันติ” แต่ผลที่เกิดขึ้นในความเป็นจริงกลับกลายเป็นตรงข้าม คือเป็น “เดือนแห่งความรุนแรง” ไปอย่างหดหู่ใจ
ในท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ หลายคนที่คุ้นเคยกับงานภาคใต้ จะรู้สึกทันทีว่า รัฐไทยกำลังกลับไปสู่วงจรของความรุนแรงหลังรัฐประหาร 2549 ที่กระแสความรุนแรงในเชิงปริมาณขยับตัวสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ ดังนั้นในสภาวะเช่นในปัจจุบันนี้ เราอาจตั้งข้อสังเกตถึงกระแสความรุนแรงที่กำลังถูกยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่องดังนี้
1.ดังที่ปรากฏชัดเจนในช่วงที่ผ่านมา ขบวนการติดอาวุธ BRN มีแนวโน้มไปในทางนิยมความรุนแรงมากขึ้น จนภาพลักษณ์ของขบวนดังกล่าวดูจะเปลี่ยนสภาวะของตัวเองจากการเป็น “กลุ่มก่อความไม่สงบ” ไปเป็น“กลุ่มก่อการร้าย” มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
2.การก่อการร้ายของ BRN มีลักษณะเป็น ”การโจมตีแบบไม่จำแนก” หรือที่ในทางทหารเรียกว่าเป็น “indiscriminate attacks” โดยไม่ยอมรับความแตกต่างระหว่างเป้าหมายอ่อนแอที่เป็นพลเรือน กับเป้าหมายทางทหาร ซึ่งสิ่งนี้เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญของการก่อการร้าย
3.วันนี้ การก่อการร้ายของ BRN ส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึง “ยุทธศาสตร์การทหารนำการเมือง” และถือเอาการฆ่าและการทำลายชีวิตอย่างไม่จำแนกเป็นทิศทางหลัก ทั้งเพื่อข่มขู่รัฐและคนในพื้นที่
4.แต่คู่ขนานกับการก่อความรุนแรงกับเป้าหมายต่างๆ เหล่านี้ กลุ่ม BRN ก็ยังต้องการการเปิด “โต๊ะเจรจา” เพื่อรองรับต่อสถานะทางการเมืองของตน และเพื่อผลักดันข้อเรียกร้องที่จะเอื้อประโยชน์ทางการเมืองให้แก่ฝ่ายตน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการดำเนินการภายใต้ทิศทาง “ฆ่าไป/คุยไป คุยไป/ฆ่าไป”
5.ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า การก่อการร้ายของ BRN มีวัตถุประสงค์ปลายทางคือ “การแบ่งแยกดินแดน” ไม่ใช่การปกครองตนเองที่ถูกนำมาเสนอหน้าฉาก การปกครองตนเองจึงเป็นเพียง “วาทกรรมการเมือง” เพื่อการ “หลอกขาย” สินค้าทางการเมืองอีกชุด
6.ในทุกครั้งที่มีการก่อเหตุเกิดขึ้น เราจะได้ยินคำอธิบายจากแนวร่วม BRN ทั้งที่อยู่ในภาควิชาการ และภาคประชาสังคมว่า เป็นเพราะ “รัฐไม่ยอมเจรจา เลยต้องฆ่า” ซึ่งทำให้เกิดคำถามอย่างมากว่า คำอธิบายความรุนแรงจากบรรดาแนวร่วมเช่นนี้ มีความจริงเพียงใด
จริงหรือว่ารัฐเปิด “โต๊ะเจรจา” แล้ว การก่อการร้ายของ BRN จะยุติลง ลดลง จนบางครั้งคำอธิบายเช่นนี้ ถูกตีความว่า BRN กำลัง “ข่มขู่รัฐ” โดยอาศัยปากของแนวร่วม ที่ทำหน้าที่เป็นดัง “สำนักข่าว BRN” ไปแล้ว
7.นอกจากเรียกร้องให้ต้องเจรจาแล้ว ถ้าเราติดตามให้ดี เราจะพบคำอธิบายอีกประการหนึ่ง คือ เป็นเพราะรัฐไทยไม่ยอมรับเอกสาร “JCPP” ที่กลุ่ม BRN โดยความสนับสนุนของ NGO ตะวันตก (ดำเนินการที่เยอรมนีและสวิตเซอร์แลนด์) และมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เข้าร่วมด้วยความ “ไร้เดียงสาและอ่อนหัด”
ดังจะเห็นได้ว่า แม้เอกสารนี้ยังไม่ถูกนำมาใช้เป็นกรอบการแก้ปัญหาในทางปฏิบัติ แต่ก็กลายเป็นสิ่งที่บรรดาแนวร่วมซึ่งทำหน้าที่เป็น “สำนักข่าว BRN”ออกมาเรียกร้องหาไม่จบ
8.การเรียกร้องให้รัฐไทยต้องยอมรับเอกสาร “JCPP” อย่างต่อเนื่องนั้น ทำให้เราอาจต้องอนุมานว่า เอกสารนี้น่าจะเป็นประโยชน์แก่ฝ่าย BRN อย่างมาก มิฉะนั้นการเรียกร้องเช่นนี้จะไม่ปรากฏชัด จนเป็นเสมือนการ “ขู่กรรโชก” รัฐไทยให้ต้องยอมพวกเขาในเรื่องนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วรัฐบาลไทย หน่วยงานความมั่นคงไทยควรต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างถ่องแท้ ไม่ใช่การไหลไปกับ “กระแส สมช.” และ “กระแสแนวร่วม”
9.BRN เชื่อว่า กลุ่มสามารถก่อเหตุร้ายอย่างใดก็ได้ หรือกระทำการอุกอาจเพียงใดก็ได้ เพราะมีบรรดาแนวร่วมคอยอธิบายเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำดังกล่าวอยู่เสมอ จนเกิดสภาวะ “ความตายที่ไร้เสียง” สำหรับบรรดาเหยื่อของการก่อเหตุ
แต่เมื่อใดก็ตาม ที่ผู้ก่อการร้าย BRN เสียชีวิต คนเหล่านั้นจะได้รับการยกย่องถึงขั้นต้องนำมากล่าวในรัฐสภาไทย (หลังจากกล่าวยกย่องผู้ก่อการร้าย BRN และจบลงด้วยการประณามรัฐไทยแล้ว ในตอนสิ้นเดือนก็ไปรับเงินประจำตำแหน่งจากรัฐไทยอย่างน่าย้อนแย้ง!)
10.การก่อเหตุอย่างต่อเนื่อง ในอีกด้านหนึ่งอาจจะมาจากปัจจัยการ “เปลี่ยนเจน-เปลี่ยนทิศ” ของผู้ก่อการรุ่นใหม่ที่ถูกประกอบสร้างให้นิยมความรุนแรงมากขึ้น และเชื่อว่าความรุนแรงของการก่อเหตุจะทำให้รัฐไทยต้องแพ้ และนำไปสู่การตั้งรัฐเอกราชใหม่ อีกทั้งความรุนแรงของพวกเขาจะได้รับการปกป้องจากบรรดาแนวร่วมทั้งจากภายในและภายนอกเสมอ จึงไม่ต้องคำนึง “ภาพลบ” ที่จะเกิดขึ้น
11.การก่อเหตุรุนแรงที่มากขึ้นสะท้อนถึงกระบวนการบ่มเพาะความรุนแรงที่มีมากขึ้นในหมู่เยาวชนคนหนุ่มสาว และ “ลัทธิสุดโต่ง” เช่นนี้ กำลังทำลายทุกอย่างในพื้นที่ และ “ฉีก” พหุสังคมที่ชอบพูดกันจนแทบไม่เหลือ
12.สมมุติหากพวกเขาได้รับชัยชนะ ก็จะนำไปสู่การกำเนิดของ “รัฐสุดโต่ง” ที่เป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อทั้งมาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และไทยเองด้วย และทั้งเป็นปัญหาอย่างมากกับพี่น้องมุสลิมเองที่ต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของ “ลัทธิสุดโต่ง”
13.การก่อเหตุยังมุ่งหวังที่จะทำลายความร่วมมือ “อันวาร์-ทักษิณ” ที่เป็นจุดเริ่มต้นหนึ่งที่สำคัญของการแก้ปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ ที่มีฐานที่มั่นอยู่ในภาคเหนือของมาเลเซีย เพราะพวกเขาส่วนหนึ่งกลัวแรงกดดันจากรัฐบาลมาเลเซียด้วย
14.การสร้างความรุนแรงต่อเนื่องยังหวังที่จะทำให้รัฐไทยใช้กำลังเข้าปราบปรามมากขึ้น หรือเกิด “กับดักทางยุทธวิธี” ซึ่งก็จะเข้าทางบรรดาแนวร่วมที่พร้อมจะจับรัฐไทยเป็นเป้าหมายในการโจมตี และผลักดันให้มหาอำนาจภายนอกเข้ามาจัดการปัญหา เช่นในแบบกรณีติมอร์ตะวันออก อันนำไปสู่การตั้งรัฐเอกราชใหม่
15.ถึงเวลาแล้วหรือยังที่รัฐไทย ที่มีนัยถึงรัฐบาลไทย และองคาพยพของความเป็นรัฐไทยทั้งหมด จะต้องคุยและกำหนดแนวทางยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างเป็นจริงเป็นจังมากกว่านี้
หรือว่า เราจะต้องรอ “ยุทธศาสตร์ สมช.” ด้วยชีวิตของพี่น้องชาวพุทธอีกกี่ศพ ด้วยชีวิตพี่น้องมุสลิมสายกลางอีกกี่ศพ และด้วยชีวิตของเจ้าหน้าที่อีกกี่ศพ จึงจะทำให้เกิดการเริ่มต้นอย่างแท้จริง …
การแก้ปัญหาจึงไม่ใช่การเล่น “ลิเก” ที่ออกแขกไม่จบ หรือเป็น “โนราห์” ที่แต่งตัวไม่เสร็จ เพราะสำหรับ BRN แล้ว พวกเขามีหลักการเพียงประการเดียวคือ “ฆ่าไม่หยุด-ฆ่าไม่จบ” เพราะไม่เคยต้อง “รอออกแขก” หรือ “รอแต่งตัว” ให้เสร็จเช่นในแบบรัฐบาลไทย ที่วันนี้ “ยังรอ” ยุทธศาสตร์ สมช. ต่อไปเรื่อยๆ !