svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

ผู้สมัคร สว. โวยสายโทรศัพท์จากนายอำเภอ ล้วงข้อมูลฮั้วเลือก สว.

ผู้สมัคร สว. ปูดสายโทรศัพท์จากนายอำเภอ ล้วงข้อมูลฮั้วเลือก สว. ขอสำเนาแจ้งความ - ด้านกรมการปกครอง ออกหนังสือถึงท้องถิ่น ส่อทำให้การสอบสวนดีเอสไอสะดุด

1 พฤษภาคม 2568 ความคืบหน้าการสอบสวนคดีพิเศษ ฮั้วเลือก สว. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กำลังเร่งสอบปากคำพยาน โดยได้ประสานไปยังตำรวจและฝ่ายปกครองซึ่งรับผิดชอบพื้นที่นั้นๆ ให้ช่วยอำนวยความสะดวก และช่วยสอบปากคำพยานในบางกรณีด้วย

 

ปรากฏว่าในหลายพื้นที่มีปัญหา เพราะเจ้าหน้าที่บางหน่วยออกแอคชั่น แนวๆ ที่อาจมองได้ว่าพยายามสกัดไม่ให้กระบวนการสอบปากคำพยานในคดี “โพยฮั้ว สว.” มีความคืบหน้าไปมากกว่านี้หรือไม่ เพราะถ้าคืบหน้าต่อไป อาจทำให้บางคน บางพรรคต้องเดือดร้อนหรือเปล่า

 

ล่าสุด คุณกุสุมาลวตี ศิริโกมุท อดีต สส.มหาสารคาม 3 สมัย เคยสังกัดพรรคไทยรักไทยและเพื่อไทย แต่ปัจจุบันสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ เคยเป็นผู้สมัคร สว.รอบล่าสุดด้วย แต่ไม่ผ่านการคัดเลือก ร้องเรียนว่า ถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองพยายามขอคัดสำเนาคำให้การของตน ทั้งในฐานะผู้กล่าวหากระบวนการเลือก สว. และในฐานะพยาน ทั้งๆ ที่ไม่น่ามีอำนาจ

คุณกุสุมาลวตี  เปิดเผยกับ เนชั่นทีวี ว่า หลังจากแจ้งความร้องทุกข์ ปรากฏว่านายอำเภอโทรศัพท์มาหา เพื่อจะขอสำเนาการแจ้งความและคำให้การ แต่บอกไปว่าไม่มี นายอำเภอยังอ้างต่อว่ามีอำนาจ เพราะเป็นหัวหน้าส่วนราชการ โดยตำรวจต้องรายงานและมอบสำเนาการแจ้งความให้ด้วย

 

ตนมองว่าผิดปกติ จึงตัดสินใจเปิดแถลงข่าวเพื่อแฉข้อมูลให้สังคมได้เห็นว่า มีความพยายามเข้ามาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม โดยมีนักการเมืองระดับชาติสั่งการ

 

จึงตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดถึงมีฝ่ายการเมืองถึงเข้ามายุ่งเกี่ยว ถ้าไม่ใช่ผู้บงการในกระบวนการเลือก สว.

 

คุณกุสุมาลวตี ทำเอกสารร้องเรียนไปยังดีเอสไอ และนัดแถลงข่าวเวลา 09.00 น.วันพรุ่งนี้(2พ.ค.68) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยทำเป็นประเด็นถาม-ตอบ เกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้

 

เมื่อถามว่า นายอำเภอสามารถขอข้อมูลรายละเอียดในการร้องทุกข์ กล่าวโทษ หรือสำนวนการสอบสวนที่ตนเองมิใช่คู่ความได้หรือไม่? คุณกุสุมาลวตี กล่าวว่า นายอำเภอ ซึ่งมิใช่คู่ความในคดีอาญา ไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะขอคัดถ่ายหรือเข้าถึงข้อมูลการร้องทุกข์ กล่าวโทษ หรือสำนวนการสอบสวนได้ เว้นแต่จะมีอำนาจหน้าที่โดยตรงตามกฎหมาย หรือมีหนังสือร้องขออย่างเป็นทางการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดำเนินงานในทางราชการ 

 

ผู้สมัคร สว. โวยสายโทรศัพท์จากนายอำเภอ ล้วงข้อมูลฮั้วเลือก สว.

 

นอกจากนั้น ยังมีบทบัญญัติกฎหมายที่ห้ามเปิดเผยข้อมูลรายละเอียดในสำนวนคดีแก่บุคคลภายนอก รวมถึงนายอำเภอด้วย คือ  ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 13 วรรคสอง ที่ระบุว่า “ในคดีอาญา เมื่อยังมิได้ฟ้องต่อศาล ห้ามมิให้ผู้ใดเปิดเผยสำนวนการสอบสวน เว้นแต่จะมีอำนาจตามกฎหมายหรือได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานที่ทำการสอบสวนแล้ว…”

 

รวมทั้ง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของทางราชการ พ.ศ.2540 มาตรา 15 “ หน่วยงานของรัฐไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลข่าวสารใดๆ หากการเปิดเผยนั้น อาจเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน การพิจารณา หรือกระทบต่อการบังคับใช้กฎหมาย…”

 

แต่ก็มีข้อยกเว้นที่นายอำเภออาจสามารถขอข้อมูลทางคดีได้ คือ

  

1.นายอำเภอ ทำหนังสือร้องขอทราบข้อมูลในฐานะหัวหน้าหน่วยงานทางปกครอง ซึ่งต้องเป็นเรื่องเฉพาะกรณี เช่น คดีความมั่นคง เป็นต้น

 

2.มีหมายศาลหรือคำสั่งเป็นหนังสือจากหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย

 

จากการตรวจสอบคดีนี้ นายอำเภอไม่มีข้อยกเว้นทั้ง 2 ข้อ ฉะนั้นการสั่งให้ผู้เสียหาย หรือพนักงานสวนสวนส่งสำเนาบันทึกการแจ้งความร้องทุกข์ของผู้อื่น ไปให้ตนเอง จึงน่าจะเป็นการกระทำที่มิชอบ

 

ผู้สมัคร สว. โวยสายโทรศัพท์จากนายอำเภอ ล้วงข้อมูลฮั้วเลือก สว.

 

ข้อร้องเรียนของคุณกุสุมาลวตี สอดคล้องหรือไม่กับกรณีเมื่อเร็วๆ นี้ กรมการปกครอง ได้ออกหนังสือวิทยุสื่อสารของกรมฯ จากอธิบดีกรมการปกครอง ถึงปลัดจังหวัดทุกจังหวัด เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2568 ในทำนองไม่สนับสนุนบุคลากร สถานที่ ให้กับดีเอสไอ ในการสืบสวนสอบสวนดำเนินคดี “ฮั้วเลือก  สว.”

 

เนื้อหาของหนังสือวิทยุสื่อสาร ไม่ได้ระบุถึงคดี “ฮั้วเลือก สว.” โดยตรง แต่เป็นการสั่งการไปถึงปลัดจังหวัด นายอำเภอ ปลัดอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในช่วงที่มีข่าวดีเอสไอประสานให้ตำรวจและฝ่ายปกครองทุกพื้นที่ ให้ช่วยสนับสนุนการสอบปากคำพยานในคดีฮั้ว สว.พอดี

 

โดยในหนังสือวิทยุสื่อสาร ได้สั่งการ 3 ข้อ ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตเรื่องอาจไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควรจากท้องถิ่น กล่าวคือ

 

1.การสนับสนุนกำลังของฝ่ายปกครอง ให้มุ่งคุ้มครองสิทธิของประชาชนเป็นสำคัญ และคำนึงถึงความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่  

 

ถอดรหัสให้เข้าใจง่ายๆ คือ ถ้าขอกำลังสนับสนุน ก็ต้องมุ่งคุ้มครองสิทธิประชาชน การจะไปบุกจับ บุกค้น ให้พึงระวัง และให้คำนึงถึงความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ด้วย

 

ผู้สมัคร สว. โวยสายโทรศัพท์จากนายอำเภอ ล้วงข้อมูลฮั้วเลือก สว.

 

2.การขอข้อมูลข่าวสาร หรือติดตามตัวบุคคล ให้คำนึงถึงกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลด้วย เว้นแต่มีหมายอาญามาแสดง

 

เนื้อหาในเอกสารวิทยุสื่อสาร ยังระบุให้ชัดเจนขึ้นอีกว่า หากในการสืบสวนสอบสวนจะต้องมีการเรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำ ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานหรือหน่วยงานที่ประสานขอข้อมูลข่าวสาร หรือขอให้ติดตามตัวบุคคลนั้น เป็นผู้ออกหมาย และติดตามตัวบุคคลภายในอำนาจหน้าที่ของตน

 

***ถอดรหัสให้เข้าใจง่ายๆ คือ สมมุติดีเอสไอต้องการเรียกใครไปสอบ ก็ให้ดีเอสไอออกหมาย หรือติดตามตัวเอาเอง ฝ่ายปกครองไม่เกี่ยว ไม่สนับสนุน อะไรทำนองนั้น

 

3.การขอใช้สถานที่ “ที่ว่าการอำเภอ” ในการสืบสวนสอบสวน ให้นายอำเภอประเมินความพร้อมของสถานที่ก่อน

 

เช่น มีห้องสอบสวน ห้องควบคุมตัวหรือไม่ ซึ่งไม่มีแน่ๆ เพราะไม่ใช่โรงพัก

 

กำลังเจ้าหน้าที่ในการดูแลความปลอดภัยมีเพียงพอหรือไม่ หากมีการต่อสู้ขัดขวาง หรือป้องกันการหลบหนี

 

เอกสารสรุปตอนท้ายว่า หากยังไม่มีความพร้อม ให้แจ้งหน่วยงานที่ร้องขอ ไปประสานสถานีตำรวจในพื้นที่แทน เนื่องจากสถานีตำรวจมีความพร้อมมากกว่า และเปิดตลอด 24 ชั่วโมง

 

สรุปคือไม่ให้ใช้สถานที่ “ที่ว่าการอำเภอ” ในการสอบสวน ให้ไปใช้โรงพักแทน !!

 

ผู้สมัคร สว. โวยสายโทรศัพท์จากนายอำเภอ ล้วงข้อมูลฮั้วเลือก สว.