3 กุมภาพันธ์ 2568 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขึ้นมอบรางวัล The Best Woman Leadership และกล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน "Go Thailand 2025 : Women Run the World" เข้าสู่ 45 ปี ฐานเศรษฐกิจ ณ TRUE ICON HALL ชั้น 7 ศูนย์การค้า ICON SIAM
นายกฯ กล่าวว่า ตนขึ้นพูดมาหลายเวทีแล้ว แต่วันนี้เดินเข้ามาพบคนรู้จักมากหน้าหลายตา ดีใจที่ได้มาเจอกัน เพราะช่วงต้นปีมายังไม่ได้เจอหลายๆท่าน จึงขอถือโอกาสสวัสดีปีใหม่ พร้อมขอบคุณ"ฐานเศรษฐกิจ" ที่ได้เชิญมากล่าววิสัยทัศน์ในวันนี้ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก เมื่อทราบหัวข้อที่พูด ก็อยากมาพูดในทันที
"นายกฯ" กล่าวต่อว่า ขอแชร์เรื่องที่ทำมาเพื่ออัปเดตคนไทยด้วยกัน ล่าสุดที่ไปดาวอส มีคนจากทั่วโลกทั้งภาครัฐและเอกชน และซีอีโอของบริษัทใหญ่ทั่วโลกมารวมตัวกัน ก็เป็นโอกาสดีของประเทศไทยที่ได้พูดคุยกับคนเหล่านั้น ที่มีส่วนสำคัญทำให้เราขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างแข็งแรง จากการพูดคุยกันก็เกิดกิจกรรม เกิดนโยบายมากมาย สิ่งที่ตนพกไปของประเทศไทยที่มีดีอยู่ 3 เรื่อง
คือ 1.การเป็นครัวโลกของประเทศไทย เรามีทรัพยากร มีพืชผลการผลิตทางการเกษตรที่ดีมากๆ อุดมสมบูรณ์ ก็เป็นสิ่งที่ทำให้คนรู้จักประเทศไทย บางคนบอกว่าไม่เคยไปประเทศไทย แต่เคยทานอาหารไทย นี่คือสิ่งที่ฝรั่งรู้จักเรา โดยที่ไม่ต้องแนะนำตัวเอง หรือเป็นซอฟพาวเวอร์ที่ทั่วโลกยอมรับความเป็นไทย ได้อย่างไม่ต้องพยายาม สิ่งที่รัฐบาลจะต่อยอดก็คือเรื่องของ Food Security หรือความมั่นคงทางอาหาร อาหารหาง่ายในประเทศของเรา แต่บางประเทศหาไม่ได้เลย หรือไม่สามารถเก็บเป็นระยะเวลานาน เราจึงไปพร้อมกับข้อเสนอต่างๆเกี่ยวกับนวัตกรรมในการเก็บพืชผลเหล่านั้นให้อยู่นานขึ้น บางประเทศที่เกิดความไม่สงบสุข อาหารจะหายาก เราก็นำเสนอสิ่งนี้ เก็บอาหารให้ ถ้าต้องการเมื่อไหร่ก็สามารถส่งให้ได้ทันทีภายในเวลาอันสั้น นี่คือสิ่งที่รัฐบาลนำเสนอไป ซึ่งทุกๆที่ก็ชื่นชมและอยากเข้ามาทำงานกับไทย และเราถือว่า "ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้" เป็นสิ่งที่รัฐบาลถือติดตัวไป
นอกจากนี้ ต้องส่งเสริมการเกษตรให้ดับคนไทย โดยเอานวัตกรรมมาช่วย เพื่อทำให้สิ่งเหล่านั้นสามารถกระจายสู่ทั่วโลกได้ เพราะบางทีการเก็บวัตถุดิบต่างๆ สามารถเก็บได้แค่ระยะสั้น ไม่สามารถตอบโจทย์ในการส่งออกได้ เพราะฉะนั้นนวัตกรรมก็จะเข้ามาให้มาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับคนไทยในภาคของเกษตรกรโดยเฉพาะ ขณะเดียวกัน เกษตรกรไทยสามารถปรับตัวกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ด้วยการใช้นวัตกรรม ทำให้ผลผลิตต่างๆมีคุณภาพเพิ่มมากขึ้น และรัฐบาลพยายามหาเทคโนโลยีเข้ามาเติมเต็มให้มากขึ้นด้วย ไม่ได้หยุดแค่สิ่งที่เรามีอยู่ แต่พยายามจะหาเพิ่ม
สำหรับเรื่องฝุ่น ก็ไม่ใช่แค่วาระแห่งชาติ แต่เป็นวาระของอาเซียน ก็เป็นเรื่องที่ไม่เกินจริง เพราะในอาเซียนก็มีความกังวล ซึ่งเราก็ได้คุยถึงนวัตกรรมต่างๆที่จะช่วยลดฝุ่น pm 2.5 ได้ เพราะประเทศอาเซียนก็เจอปัญหาเช่นเดียวกัน การร่วมมือกันจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก
นายกฯ กล่าวต่อว่า 2. การพัฒนาวัฒนธรรมไทยให้สร้างมูลค่ามากยิ่งขึ้น วัฒนธรรมของเราเข้มข้น ต่างชาติชื่นชอบ ชื่นชมในวัฒนธรรมไทย ตอนนี้มีการสร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้กับคนไทย ด้วยการเพิ่มการสร้างเสน่ห์ของไทย ไม่ว่าจะเป็นการจัด festival ต่างๆให้มีตลอดทุกเดือน ตลอดปี ไม่ใช่ให้มีแค่ช่วงไฮซีซั่นอย่างสงกรานต์ 3-5 วันแล้วจบ แต่เราจะขยายเพื่อให้ทุกวันของเดือนเมษายน เป็น festival ได้ คนก็จะอยู่นานขึ้น และใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ทำให้รายได้หมุนเวียนเข้าประเทศ เข้าจังหวัดนั้นๆ เพิ่มมากขึ้น นี่คือสิ่งที่รัฐบาลพยายามผลักดันต่อเนื่องตั้งแต่สมัยนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน จนมาถึงรัฐบาลปัจจุบัน
"ประเทศไทยน่าเที่ยวอยู่แล้ว มีความสวยงามอยู่แล้ว ทุกภาคมีเรื่องดีๆ มีข้อดีของตัวเองหมด ไม่ใช่แค่เมืองหลักแต่เมืองรองก็แข็งแรงเช่นกัน แต่ตอนนี้จีดีพีของเราต้องการกระตุ้นเพิ่มมากขึ่นอย่างมาก เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีอยู่แล้วอาจไม่สามารถตอบโจทย์ของการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทั้งหมด วันนี้จีดีพีของเราโตช้ากว่าศักยภาพที่ควรจะเป็น เพราะฉะนั้น human made สำคัญมาก สิ่งที่เราจะสร้างขึ้นมาได้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมสำคัญมากๆ จึงมีการเสนอเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ หรือ wellness tourism สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา จะสามารถผลักดันจีดีพีของประเทศให้ก้าวกระโดดได้ ไม่ใช่แค่โตเพียงหลักเดิมๆที่เคยโต เพราะโตเท่าเดิมไม่เพียงพอ แต่เรายังมองไปอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเซมิคอนดักเตอร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ ที่เราพยายามหาสิ่งเหล่านี้เข้ามาลงทุนในประเทศ และสิ่งสำคัญอีกก็คือ เน้นย้ำเรื่องของอุตสาหกรรมแห่งอนาคต"
นายกฯ กล่าวต่อไปว่า 3. อุตสาหกรรมแห่งอนาคต พลังงานถูกใช้ไปมากมาย ก็ต้องทำต้นทุนของเราให้สามารถแข่งขันได้ ถ้าต้นทุนเราสูงแต่แรกเราก็จะเสียเปรียบประเทศอื่นๆ เพราะฉะนั้นรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ ที่สำคัญเรื่องของ green energy ทุกชาติทุกประเทศพูดถึงเรื่องนี้ ทำอย่างไรให้อุตสาหกรรมแห่งอนาคตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่เพิ่มภาวะโลกร้อน ซึ่งทั่วโลกสนใจกรีน green energy อย่างมาก ก็ต้องมีการลงทุนเทคโนโลยี สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน และเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2050 นี่คือสิ่งที่ได้รับการตกลงกับประเทศเพื่อนบ้านและทั่วโลก ว่าเราจะรับอุตสาหกรรมในอนาคต แต่ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
สำหรับเรื่องของคนก็สำคัญมาก โดยเฉพาะทุนการศึกษาก็สำคัญ เราต้องพัฒนาคน เตรียมคนไว้สำหรับอีก 10-20 ปีข้างหน้า ที่อุตสาหกรรมอนาคตจะเข้ามามีบทบาทสำคัญ จึงต้องใช้ทางลัด เช่น สมมติ Google ที่เข้ามาลงทุนกับเรา ก็ต้องให้เขาเทรนให้คนของเรา เพื่อให้มีศักยภาพพร้อมพอที่จะทำงานต่อ และรัฐบาลก็มีหน้าที่ต้องเตรียมคนรุ่นต่อไป คนไทยจะได้มีศักยภาพที่พร้อมสำหรับการทำงานเหล่านี้ จะได้ไม่ต้องไปหาแรงงานจากที่อื่น เอาคนไทยให้พร้อม เพราะฉะนั้นโอกาสของคนไทย โอกาสของเด็กรุ่นใหม่ ต้องมอบให้เขา บางทีอุปกรณ์การเรียนการศึกษาไม่พอ ไม่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมอนาคต ก็เป็นสิ่งที่ต้องปรับปรุงและช่วยกันทั้งหมด ไม่ใช่กระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง แต่ทุกกระทรวงต้องวางแผนร่วมกันในเรื่องของการเตรียมคนแห่งอนาคต
ส่วนธีมงานวันนี้ที่เป็น women run the world น่าสนใจมากๆ ซึ่งตนได้หาข้อมูลมาพูดในเวทีนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผู้หญิงที่เข้ามาทำงาน ไม่ว่าจะภาครัฐหรือเอกชน เอาสโคปเฉพาะประเทศไทยก่อน ซีอีโอผู้หญิงของประเทศไทยมีมากเป็นอันดับ 3 ของโลก ซึ่งรวมบริษัทของตนด้วย ซึ่งภาคเอกชนผู้หญิงเป็นที่ยอมรับอย่างมาก หลายหลายคนที่ขึ้นมารับรางวัลบนเวทีก็เป็นหญิงเก่ง ขอชื่นชมที่ทำผลงานให้ประเทศอย่างต่อเนื่อง
ส่วนผู้หญิงในภาครัฐ ยังมีปริมาณที่ไม่เยอะ อย่างในคณะรัฐมนตรีตอนนี้ถือว่าเยอะในประวัติศาสตร์ไทย แต่ก็ยังไม่เยอะถ้าเทียบกับประเทศอื่น จริงๆแล้วอาชีพต่างๆไม่จำเป็นต้องจำกัดในเรื่องของเพศ หรือเพศสภาพใดๆ ถ้าคนเรามีอุดมการณ์ มีความคิด มีความพร้อมที่จะช่วยผลักดันเรื่องนโยบายและการกระตุ้นเศรษฐกิจ การช่วยภาครัฐและเอกชนต่างๆ ก็ดีใจมากๆ ที่อย่างน้อยประเทศของเรามีการเปิดรับในเรื่องของสมรสเท่าเทียม ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา
"ในฐานะนายกรัฐมนตรีก็ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างมาก ที่ได้เป็นนายกฯ ในประเทศที่สมรสเท่าเทียมผ่านแล้ว นั่นคือเครื่องหมายของการที่เราอยากให้คนเท่าเทียม อยากให้กฎหมายได้ดูแลประชาชนในทุกเพศสภาพ นี่คือสิ่งสำคัญและน่าภูมิใจสำหรับคนไทยทุกคน"
และในฐานะที่เป็นทั้งคุณแม่ เป็นลูกสาว และเป็นภรรยา ก็มีหลายบทขาทหน้าที่ และต้องเป็นหนึ่งในคนที่สร้างความเข้มแข็งให้กับคนในครอบครัว ให้กับลูก เพราะฉะนั้นตนก็ต้องเข้าใจโลกแบบเข้มแข็ง ไม่ใช่เข้าใจโลกแบบฝืนธรรมชาติ
"การที่มายืนอยู่ตรงนี้ ด้วยความเป็นผู้หญิง แน่นอนโดนปรามาสมากมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงอายุน้อย หรืออะไรก็ตาม ซึ่งผู้หญิงมีปัจจัยอะไร อย่างที่เคยให้สัมภาษณ์ไป อย่างเสื้อผ้า หน้า ผม ซึ่งมันไม่ใช่มาตรวัดความรู้ความสามารถของเพศใด มันไม่ใช่สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าคนนั้นมีความสามารถเพียงพอหรือไม่ เพราะมันคือรูปลักษณ์ภายนอก คือความชอบของแต่ละคน คือความมั่นใจของแต่ละคน"
"จริงๆแล้วถ้าดิฉันสอนลูก ก็อยากจะให้ลูกมี self extreme ที่ดี ให้เห็นค่าของตัวเอง และให้ทราบว่าค่าของเขาอยู่ที่ตัวของเขาในการจะเติบโตขึ้นมา มีพื้นฐานรักตัวเองมากพอ จะได้ส่งมอบความรักต่อคนอื่นได้ แต่ถ้ารักตัวเองไม่มากพอ ชอบตัวเองไม่มากพอ เราก็จะไม่มีแรงที่จะรักชอบคนอื่นได้ นี่คือสิ่งสำคัญ เพราะฉะนั้นการมีโอกาสพูดบนเวที ก็อยากจะบอกผู้หญิงทุกคนว่า เมื่ออยู่ตำแหน่งใดก็ตาม ถ้ามีความรู้ความสามารถ ถ้าเตรียมตัวตั้งใจทำงาน นี่คือมาตรวัดของเรา ว่าเราเต็มที่ในหน้าที่การงานของเราหรือไม่ นี่คือสิ่งสำคัญ เพราะว่าเรื่องของภายนอกก็คือภายนอก แต่ไม่ใช่มาตรวัดของเรา"
"นายกฯ" กล่าวทิ้งท้ายว่า ขอตอกย้ำว่าการที่เราเป็นผู้หญิง หรือเป็นเพศใดก็ตาม มีสิทธิ์ มีความเท่าเทียม มีความเป็นมนุษย์ มีแรงและพลังในการผลักดันประเทศเหมือนกัน อยู่ที่ใจ อยู่ที่เวลา อยู่ที่การจัดสรร ว่าเราจะสามารถช่วยเหลือประเทศในด้านใดบ้าง ตนมีโอกาสได้พบเด็กนักเรียน เขาอาจจะคิดว่าเป็นมนุษย์ตัวเล็กๆ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่เป็นเรื่องไม่จริง ถ้าน้องๆที่นั่งดูอยู่ เลือกอนาคตของตัวเองให้ดี เลือกในสิ่งที่ถูก และโตขึ้นมาเป็นคนคุณภาพ ช่วยกันผลักดันประเทศ จากหน่วยเล็กๆ หน่วยในหมู่บ้าน มาถึงจังหวัด ถึงประเทศ และระดับโลก นี่ก็คือความเปลี่ยนแปลงเล็กๆที่สามารถกลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ได้ นี่คือสิ่งที่รัฐบาลมองเห็น และชื่ออย่างยิ่งว่าคนไทยมีศักยภาพอย่างมากมาย รอแค่โอกาสที่ดีเท่านั้น