
25 มกราคม 2568 ปัญหาฝุ่นพิษ "PM 2.5" ที่กำลังแพร่กระจายไปทั่วเมือง ถึงขั้นวิกฤติรุนแรง เป็นอันตรายต่อสุขภาพคนไทย ในหลายพื้นที่หลายจังหวัด จน "นายกฯแพทองธาร" สั่งการข้ามประเทศ 6 ข้อเร่งด่วน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ปัญหาทันทีนั้น
โดยข้อเท็จจริง ปัญหาฝุ่น"PM 2.5" หาใช่ปัญหาใหม่ ที่เข้ามาปกคลุมประเทศไทย หากแต่เกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลายาวนาน ต่อเนื่อง
เมื่อพิจารณาในเชิงการรับรู้ของรัฐบาลต่อสถานการณ์ฝุ่นควัน "PM 2.5"
-เป็นการรับรู้ต่อสถานการณ์ไฟป่า
-เป็นการรับรู้ต่อสถานการณ์การลักลอบหรือจงใจเผาพื้นที่ทำการเกษตร
-เป็นการรับรู้ต้นตอฝุ่นควันจากประเทศเพื่อนบ้าน
ย่อมตอกย้ำ ปัญหาฝุ่นควัน ไม่ใช่เรื่องใหม่ ตามที่กล่าวข้างต้นอีกทั้งรัฐบาลมีการศึกษาหามาตรการ แก้ไข ตั้งแต่รัฐบาล "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" เปลี่ยนผ่านมาเป็น "รัฐบาลเศรษฐา" ปัญหาฝุ่นละออง "PM 2.5" ก็ถูกนำเข้าที่ประชุมครม. พร้อมกับมี "มติครม." ในการออกมาตรการแก้ปัญหามาเป็นระยะๆ แม้แต่ล่าสุด "รัฐบาลแพทองธาร"ก็เคยมีการหารือและหาแนวทางแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ
"เราเตรียมไว้ตั้งแต่วันที่ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเลยด้วยซ้ำ ตั้งแต่ปีที่แล้วเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นในแต่ละพื้นที่ ว่าฝุ่นกำลังจะมา ฝุ่นไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรส์ของเรา รัฐบาลทราบอยู่แล้ว ก่อนมาก็เห็นเรียกประชุมหมดแล้วทุกกระทรวง"
"แพทองธาร ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ถึงกรณีเสียงวิจารณ์ในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 วันที่ 24 มกราคม 2568
คำยืนยันจากนายกฯแพทองธาร ก็ยิ่งเป็นเครื่องตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงการรับรู้สถานการณ์ฝุ่นพิษถล่มเมือง
จึงเกิดคำถามตามมาว่า การแก้ปัญหาฝุ่นพิษ "PM2.5" ได้ดำเนินการอย่างจริงจัง เด็ดขาด แล้วหรือยัง
หากเทียบกับการให้สัมภาษณ์ของ "ภูมิธรรม เวชยชัย" รองนายกฯและรมว.กลาโหม ออกมาตอบโต้ ฝ่ายค้านที่หยิบยกประเด็นแก้ปัญหาฝุ่นควันมาโจมตี ว่า "เรื่องฝุ่นเป็นปัญหาเล็กๆ ไม่ควรโยงมาเป็นประเด็นดิสเครดิตรัฐบาล"
ฉะนั้นเมื่อเป็นปัญหาเล็กๆ แต่เหตุใดรัฐบาลยังแก้ไม่ได้ทั้งที่เคยมี "มติ ครม."ต่อแนวทางแก้ปัญหาดังกล่าว
ในเมื่อมีการมอบนโยบายออกเป็น "มติครม." จำนวนหลายฉบับ หน่วยงานกระทรวง ทบวง กรม ได้ดำเนินการหรือไม่
เรามาย้อนดู "มติครม." ในช่วงระยะเวลา เปลี่ยนผ่านรัฐบาล ตั้งแต่ รัฐบาลเศรษฐามาเป็น "รัฐบาลแพทองธาร" ดูบ้างมี มติ ครม.แก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ "PM2.5" ไว้อย่างไร
บังคับใช้กม.กับผู้กระทำผิดอย่างเข้มงวด
30 มกราคม 2567 เป็น"มติครม." ที่เกิดขึ้นในยุครัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่มี"เศรษฐา ทวีสิน"เป็นนายกฯ ครั้งนั้นมีการหารือเรื่องฝุ่นพิษ "PM2.5"
ครม.มติเห็นชอบตามที่ นายกรัฐมนตรี เสนอว่า ตามที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะเรื่องฝุ่นละออง "PM2.5" มาอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่กระทำความผิดอย่างเข้มงวด และขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนร่วมดำเนินการแก้ไขปัญหา ตลอดจนประสานการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง ส่งผลให้ปัญหาฝุ่นละออง"PM2.5" ในหลายพื้นที่บรรเทาความรุนแรงลง
.
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ฝุ่นละออง "PM2.5" ในอีกหลายพื้นที่ของประเทศยังน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน พื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังนี้
1. ให้รองนายกรัฐมนตรีทุกท่านลงพื้นที่ในเขตตรวจราชการในความรับผิดชอบเพื่อติดตามและตรวจสอบสภาพปัญหาฝุ่นละออง "PM2.5" และกำกับดูแลการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวให้ทั่วถึงและเพียงพอ
2. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม [สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ และภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)] ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามสถานการณ์ฝุ่นละออง "PM2.5" และจุดความร้อนในพื้นที่ต่างๆ ให้ครบถ้วนอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำข้อมูลมาใช้ประกอบการดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เหมาะสม ถูกต้องต่อไป
เผาพื้นที่เกษตรโดนตัดสิทธิได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ
ต่อมา มติครม.เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2567 ซึ่งอยู่ในช่วง"รัฐบาลเศรษฐา" ก็มีการหารือแก้ปัญหาฝุ่นพิษ "PM2.5" โดย ครม.มติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรี เสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (6 กุมภาพันธ์ 2567) มอบหมายให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับแนวทางเพิ่มเติมในเรื่องต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการแก้ไขและบรรเทาปัญหามลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดสิทธิในการรับความช่วยเหลือจากรัฐ ที่ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อกำหนดมาตรการลดหรือห้ามนำเข้าสินค้าเกษตรจากประทศเพื่อนบ้านที่พิสูจน์ได้ว่ามีกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการเผา นั้น
โดยที่ปัจจุบันประเทศไทยยังคงได้รับผลกระทบข้ามแดนจากการเผาแปลงเพาะปลูกข้าวโพดในประเทศเพื่อนบ้านเป็นอย่างมาก จึงขอมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและรวดเร็ว รวมทั้งไม่ให้ขัดต่อข้อตกลงขององค์การการค้าโลก (WTO) เพื่อลดปัญหามลพิษทางอากาศที่จะเกิดขึ้นต่อไป
ครม.แพทองธาร เคยออกมาตรการแก้ฝุ่นเข้มงวด
ภายหลัง "เศรษฐา" พ้นเก้าอี้นายกฯ เปลี่ยนมาเป็น แพทองธาร ชินวัตร ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ ก็ปรากฎ"มติ ครม."เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567
โดยเนื้อหามติครม.บ่งบอกถึงการรับรู้สถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปัจจุบันเสียด้วยซ้ำ สอดรับกับที่ แพทองธาร ให้สัมภาษณ์สื่อข้ามประเทศทำนองว่า "เรารับรู้ปัญหามาตั้งแต่เข้ามาเป็นนายกฯและหารือแก้ไขกันอยู่ "
มติครม.ยุครัฐบาลแพทองธาร ในวันนั้น มีมติ เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรี เสนอว่า ในขณะนี้ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ซึ่งสภาพภูมิอากาศจะเย็นลงและปัญหามลพิษทางอากาศ (ฝุ่นละออง PM2.5) จะมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงขอ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นเจ้าภาพหลักร่วมหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อกำหนดมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ฝุ่นละออง PM2.5) ในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศให้เหมาะสมและครบถ้วนทั้งที่เป็นปัญหามลพิษจากการเผาในภาคการเกษตร ควันและไอเสียของรถยนต์ และฝุ่นควันจากภาคอุตสาหกรรม เช่น มาตรการไม่รับซื้อผลิตผลทางการเกษตร (เช่น ข้าวโพด อ้อย)
ในกรณีพิสูจน์ได้ว่ามีกระบวนการผลิตที่ใช้วิธีการเผาทั้งในและต่างประเทศ มาตรการตรวจจับและระงับการใช้ยานพาหนะที่ปล่อยควันดำเกินค่ามาตรฐาน มาตรการตรวจสอบและควบคุมการปล่อยมลพิษทางอากาศของโรงงานอุตสาหกรรม แล้วให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง
เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งรัดดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ ดังกล่าว ตามหน้าที่และอำนาจให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป
เมื่อปรากฎมติครม.ต่อการแก้ปัญหาฝุ่นพิษ จากครม.เศรษฐามาถึง "ครม.แพทองธาร" เช่นนี้แล้ว จึงไม่แปลกที่ผู้คนจะมีเครื่องหมายคำถามตัวโต
"ครม.แพทองธาร ได้ดำเนินการแก้ปัญหาฝุ่นพิษแล้วจริงหรือ?"
"หรือทำแล้วแต่ยังไม่เห็นผลสำเร็จ?"
ทั้งที่เป็นปัญหาเล็กๆ ตามที่รองนายกฯภูมิธรรม กล่าวไว้มิใช่หรือ
ช่างผิดวิสัย "คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน" เหมือนสโลแกนพรรคเพื่อไทยประกาศไว้นัก