ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด สำหรับสถานการณ์ สงครามกลางเมืองในเมียนมา การสู้รบระหว่าง "กองทัพรัฐบาลทหารเมียนมา" กับ "กองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์" ที่มีการร่วมกันโจมตีจุดยุทธศาสตร์สำคัญทางการทหาร และสามารถยึดพื้นที่จากรัฐบาลทหารเมียนมาได้หลายจุด
โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่เมืองสำคัญ ที่เป็นเมืองหน้าด่าน ที่อยู่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เมืองเมียวดา เมืองเศรษฐกิจสำคัญ ที่อยู่ติดกับชายแดนอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ของไทย
เมืองเหล่านี้ถือมีความสำคัญ เนื่องจากเป็นเส้นทางการติดต่อค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้าน เปรียบเสมือนอีกหนึ่งในเส้นเลือดสำคัญทางเศรษฐกิจของเมียนมา
สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อย ตั้งข้อสงสัยว่า กำลังเกิดอะไรขึ้นกับรัฐบาลทหารเมียนมาในขณะนี้
Nation STORY ขอนำเสนอบทวิเคราะห์สถานการณ์สงครามกลางเมืองในเมียนมา โดย ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดอกเตอร์ สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงชื่อดัง จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า ขณะนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นกับรัฐบาลทหารเมียนมา และประเทศไทยควรต้องเตรียมพร้อมรับมืออย่างไร....
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ "อาจารย์สุรชาติ" ขมวดประเด็นตั้งต้นว่า นี่คือการ “ถอยทางยุทธศาสตร์” ของรัฐบาลทหาร
1.การถดถอยทางยุทธศาสตร์กำลังเกิดขึ้นอีกครั้ง หลังการเสียเมืองในรัฐฉานตอนบน (เล้าก์ก่าย และเมืองใกล้เคียง) หลังยุทธการ 1027 (การโจมตีของกลุ่มพันธมิตรสามภราดรภาพ วันที่ 27 ตุลาคม 2566)
2.การเสียเมียวดี เป็นความสูญเสียทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ทั้งทางเศรษฐกิจ และการเมือง
3.สูญเสียเมียวดี ไม่เพียงสูญเสียพื้นที่เศรษฐกิจใหญ่ แต่สูญเสียพื้นที่ในการปกครองที่สำคัญของรัฐบาลทหารด้วย
4.สงครามมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้นหลังสงกรานต์ และอาจมีการเปิดฉากการรบครั้งใหญ่
5.การประกาศชัยชนะ และชักธงกะเหรี่ยง จะเป็นสัญลักษณ์สำคัญของการประกาศพื้นที่ที่เป็นอิสระ และจะเป็นตัวแบบของการชักธงของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่ประกาศเป็นพื้นที่ปกครองตนเอง
6.กำลังเห็นถึงภาวะ “ชนบทล้อมเมือง” ที่เริ่มขยับเข้าหาเมืองหลวงที่เนปิดอว์
7.การตอบโต้กลับของ SAC หรือ สภาบริหารแห่งรัฐ ซึ่งก็คือรัฐบาลทหารเมียนมา เป็นสิ่งที่หลายฝ่ายจับตา โดยเฉพาะการทิ้งระเบิดเมียวดี ซึ่งจะเกิดความเสียหายอย่างมาก
8.ชาวโลกได้เห็นความร่วมมือทางทหารระหว่าง PDF หรือกองกำลังพิทักษ์ประชาชน กับกองกำลังชาติพันธุ์จริงๆ เกิดขึ้นแล้ว
9.หากสงครามขยายจากการตอบโต้ของ SAC จะทำให้เกิดผู้ลี้ภัยเข้าไทย ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นกว่าในปัจจุบัน
10.ไทยต้องเตรียมยุทธศาสตร์กับความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เพราะพื้นที่ชายแดนด้านตะวันตกของไทยที่ติดกับเมียนมา ไม่ใช่พื้นที่อำนาจรัฐฝ่ายทหาร แต่เป็นเขตอิทธิพลของกลุ่มชาติพันธุ์
ข้อสรุปของอาจารย์สุรชาติ ก็คือ รัฐบาลทหารเมียนมากำลังเริ่มพ่ายแพ้อย่างแท้จริงแล้ว
เปิดพื้นที่ยึดครองฝ่ายต่อต้าน - ทหารพม่าแตกไม่แตก?
ทั้งนี้ มีแผนที่ทางภูมิศาสตร์ของเมียนมา ซึ่งจัดทำโดยกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า People’s Spring ได้มีการพล็อตจุดสีแดง แสดงว่าเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายต่อต้านยึดครองได้เบ็ดเสร็จ คือไม่อยู่ในอำนาจของรัฐบาลทหารแล้ว โดยสรุปว่า กลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหาร สามารถยึดอำเภอและชุมชนใหญ่ได้แล้ว 52 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งในจำนวนนี้ นับรวมเมืองเมียวดีด้วย
ข่าวสารที่ออกมาในช่วงนี้สอดรับกันหมด รวมถึงนักวิเคราะห์ในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มนักวิชาการ สื่อมวลชน และภาคประชาสังคม คือ รัฐบาลทหารกำลังจะพ่ายแพ้
แต่แหล่งข่าวระดับสูงของฝ่ายความมั่นคงไทย ประเมินว่า กองทัพเมียนมายังคงสงบนิ่ง ยังไม่ได้โต้ตอบด้วยอาวุธหนัก ทั้ง ๆ ที่มีความพร้อม โดยกองทัพเมียนมามีความใกล้ชิดกับรัสเซีย มาตั้งแต่ก่อนการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 โดยรัฐบาลทหารรบด้วยยุทธศาสตร์การรบแบบ “ยืดเยื้อ” ไม่ต่างอะไรกับรัสเซีย
ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง ซึ่งเคยเป็นหัวหน้าหน่วยงานด้านการข่าวระดับประเทศ บอกว่า เรื่องนี้ประเมินยาก เพราะฝ่ายต่างๆ ในไทย รับข่าวจากสื่อตะวันตก และแหล่งข่าวที่ชาติตะวันตกสนับสนุนทั้งสิ้น
ศูนย์สั่งการชายแดนฯ ยืนยันเหตุสู้รบภายในเมียนมา ยังไม่ส่งผลกระทบต่อคนชายแดน
สำหรับสถานการณ์ชายแดนไทย-เมียนมา บริเวณสะพานมิตรภาพ แห่งที่ 1 ตั้งแต่เปิดทำการ มีประชาชนทั้ง 2 ฝั่ง และยานพาหนะ ผ่านเข้า-ออก ตามปกติ
ส่วนที่บริเวณสะพานมิตรภาพ แห่งที่ 2 เจ้าหน้าที่ศุลกากร และ เจ้าหน้าที่ ตม.เมียนมา ก็มาทำงานตามปกติ โดยในวันนี้รถขนส่งสินค้าในขาเข้าสามารถขนส่งสินค้าได้ตามปกติ ขณะที่ขาออก รถขนส่งสินค้าไม่สามารถติดต่อบริษัทชิปปิ้งได้ (ฝั่งเมียนมา) จึงนำรถกลับมาจอดที่ฝั่งไทย
สำหรับเหตุสู้รบที่เกิดขึ้นในเมียนมา ทางศูนย์สั่งการชายแดนไทย-เมียนมา จ.ตาก ยืนยันว่า ยังไม่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน บริเวณแนวชายแดน พร้อมย้ำว่า ประเทศไทยไม่ใช่คู่ขัดแย้ง ของทั้ง 2 ฝ่าย และไม่สนับสนุนให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ใช้พื้นที่ประเทศไทยเป็นพื้นที่สนับสนุนผลประโยชน์ของกลุ่มตนเองส่วนผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมา (ผภสม.) เดินทางเข้ามายังฝั่งไทย ในพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว จ.ตาก ที่บ้านหนองหลวง จำนวน 77 คน