ซึ่งประเด็นนี้ผู้ที่ยื่นร้อง คือ "ธีรยุทธ สุวรรณเกษร" อดีตทนายความของอดีตพระพุทธะอิสระ ได้ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2566 กระทั่งวันที่ 12 ก.ค. 2566 หรือในปีเดียวกัน ศาลจึงรับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณา
แม้คำตัดสินในเรื่องนี้จะออกมาแล้ว แต่ "พิธา-ก้าวไกล" ก็ยังคงความเสี่ยง โดยเฉพาะประเด็นของการยุบพรรค เพราะล่าสุดนักร้องชื่อ อย่าง "เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ" สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และ "ธีรยุทธ" ต่างเดินทางไปยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เพื่อพิจารณายุบพรรคก้าวไกล โดยยึดแนวทางคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะถือว่ามีผลผูกพันต่อทุกองค์กร
เนื่องจากรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 211 ระบุไว้ชัดเจนในวรรคสี่
ซึ่งการจะยื่นยุบพรรคการเมืองนั้นเป็นไปตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560
มาตรา 92 ระบุว่า ... เมื่อคณะกรรมการมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองใดกระทำการ อย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองนั้น
(1) กระทำการล้มล้างการปกครอง หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
(2) กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง
ดังนั้น เมื่อดูคำตัดสินจึงเห็นได้ว่าเข้าทางให้กับผู้ร้องสามารถใช้กฎหมายส่วนอื่น เป็นอีกช่องทางดำเนินการยื่นคำร้องเพื่อขอยุบพรรค
สำหรับรายชื่อกรรมการบริหารพรรคปี 2564 ซึ่งเห็นชอบนโยบายให้แก้กฎหมายมาตรา 112 ประกอบด้วย
รองหัวหน้าพรรค 4 คน ประกอบไปด้วย
คณะโฆษกพรรค 4 คน ประกอบไปด้วย
รองเลขาธิการพรรค 11 คน ประกอบไปด้วย
คณะกรรมการบริหาร 10 คน ได้แก่
สำหรับรายชื่อที่ร่วมเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2564 ล้วนเป็น สส. ของพรรคก้าวไกล ทั้งสิ้น รวม 44 คน ประกอบด้วย
ประเด็นที่ทุกคนให้ความสนใจนอกเหนือจากคำวินิจฉัยของศาล
ทว่า กระแสหนาหูก้าวไกลที่ต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก คือ การยุบพรรค ซึ่งก็ได้ 2 นักร้องไปยื่นต่อ กกต. แล้วเป็นที่เรียบร้อย จากนี้ก็เหลือเพียงการเดินเครื่องพิจารณา เพราะเมื่อกฎหมายเขียนไว้ชัด ซึ่งขั้นตอนดำเนินการอยู่ในมาตรา 93
หากผลที่ตามมาเป็นไปในทิศทางซึ่งบัญญัติไว้ในมาตรา 94 สรุปคือ
เมื่อเป็นแบบนี้ กรรมการบริหารพรรคทั้ง 10 คน ก็คงต้องเสียวสันหลัง
โอกาสรอดยุบพรรคจะมีหรือไม่
โดย "รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว" อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ให้ความเห็นไว้ว่า หากปรับท่าที และยอมรับคำวินิจฉัย โดยยืนยันว่าจะไม่แก้ไขเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในลักษณะเดิม ก็ยังพอมีโอกาส เนื่องจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ คือ "สั่งให้ยุติการกระทำ" ซึ่งยังไม่มีความผิด ฉะนั้น ความผิดจะเกิดหากไม่ยอมเลิกการกระทำ และเชื่อว่าผู้มีอำนาจน่าจะประเมินแล้วว่า การยุบพรรคไม่มีประโยชน์ และอาจทำให้ก้าวไกลขยายฐานความนิยมขึ้นกว่าเดิม
สอดรับกับท่าทีก้าวไกลล่าสุด ที่ได้มีการลบลิงก์นโยบายดังกล่าวออกจากเว็ปไซด์พรรคไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเป็นคำยืนยันจาก "ชัยธวัช ตุลาธน" หัวหน้าพรรค
อีกประเด็นยังทำให้ก้าวไกลน่าเป็นห่วง
ต้องไม่ลืมว่าตลอดที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัย ได้มีการเน้นย้ำโดยเฉพาะพฤติการณ์ของ สส. พรรคก้าวไกล ทั้งร่วมกิจกรรมการเคลื่อนไหว หรือใช้ตำแหน่งผู้แทนฯ ประกันตัวกลุ่มคนต้องคดีมาตรา 112 หรือแม้กระทั้งมี สส.ของพรรคตกเป็นผู้ต้องหาคดีนี้เอง อย่าง
โดยเรื่องนี้ กระบวนการจะเริ่มต้นที่ ป.ป.ช. พิจารณาเกี่ยวกับมาตรฐานจริยธรรม ตามมาตรา 234 ของรัฐธรรมนูญ และเมื่อไต่สวนแล้วเสร็จก็จะเสนอเรื่องต่อศาลฎีกาแผนกคดีนักการเมืองทำการวินิจฉัย หากศาลรับคำร้อง แน่นอนว่า "พิธา" จะถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่อีกครั้งหนึ่ง และหากผิดโอกาสปิดประตูตายทางการเมืองทุกระดับตลอดชีวิต หรือ "ใบดำ" ซึ่งเป็นโทษแรงสุดทางการเมือง
ทั้งหมดเป็นภาพรวมให้ต้องจับตากับ "พรรคก้าวไกล" ต่อประเด็นทั้งหมดจะลงเอยแบบไหน อย่างไร มาร่วมลุ้นกัน