svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"อธิบดีกรมการข้าว" เปิดแผนล่อซื้อ "ศรีสุวรรณ" แค้นใจ "คนไม่ผิดมันเจ็บ"

"อธิบดีกรมการข้าว" เปิดแผนล่อซื้อ "ศรีสุวรรณ" เหตุรำคาญ-แค้นใจ คนไม่ผิดแต่ถูกร้องเรียน ย้ำ บริสุทธิ์จริงตรวจสอบได้

30 มกราคม 2567 ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว ชี้แจงเหตุผลการดำเนินคดีกับ นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติรักแผ่นดิน เรียกรับเงิน ว่า ตนขอบคุณ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ให้กำลังใจตนมาตลอดในการทำงาน และขอบคุณกองบัญชาการสอบสวนกลางที่ทุ่มเทกำลังกายแรงใจเป็นแรมเดือน ในการดำเนินการครั้งนี้ โดยวันนี้(30 ม.ค.) ตนตัดสินใจมาแถลงข่าวเฉพาะบางส่วนที่เกี่ยวข้อง เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตนได้ดำเนินการกับภรรยา 2 คน รวบรวมข้อมูลทั้งหมดในระยะเวลานานพอสมควรและดำเนินคดี ซึ่งทีมงานของตนเองทุกคนไม่มีใครรับรู้

ย้อนเหตุการณ์บุกบ้าน ศรีสุวรรณ

พร้อมเล่าเหตุการณ์ในวันที่ 28 พ.ย. 66 ตนตัดสินใจไปที่บ้านของ นายศรีสุวรรณ ชวนพี่หมู (ที่ปรึกษารัฐมนตรี) และภรรยา ในฐานะที่นายศรีสุวรรณเป็นรุ่นน้องตนที่สถาบันแม่โจ้ เพื่อถามว่าทำไมต้องร้องเรียนตน เพราะผลการตรวจสอบตนไม่ได้ผิดอะไร นายศรีสุวรรณก็ไม่ได้ตอบอะไรตนกลับมา เขานิ่งๆ ไม่เหมือนตนที่หัวร้อน และเขาไม่ได้บอกว่าอยากได้อะไรเป็นพิเศษ เขาจะมาอยากได้อะไรจากตน ตนไปล่อซื้อเขาอย่างเดียว ซึ่งเรื่องนี้พี่หมูไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ได้จ่ายเงินจ่ายทอง ตนเป็นคนชวนพี่หมูให้ไปด้วยกัน หากไปคนเดียวถูกกระทืบตายทำอย่างไร ทุกอย่างต้องระมัดระวังในการดำเนินชีวิต

นายณัฎฐกิตติ์ กล่าวต่อ ตนพูดความจริงทุกอย่างไม่ได้โกหก และวันที่ 28 พ.ย.66 ไม่ได้มีการเจรจาเรื่องจ่ายเงิน หลังจากวันที่ 28 พ.ย. ประมาณ 2-3 อาทิตย์ นายศรีสุวรรณก็ได้มีการแถลงข่าวเรื่องฝนหลวง และยังพูดพาดพิงมาถึงกรมการข้าว ตนจึงแค้นใจ คนที่ไม่ผิดมันเจ็บใจ จึงวางแผนกับภรรยาดำเนินการเรื่องนี้ 

\"อธิบดีกรมการข้าว\" เปิดแผนล่อซื้อ \"ศรีสุวรรณ\" แค้นใจ \"คนไม่ผิดมันเจ็บ\"

ส่วนเงินที่เขาเรียกก็มีการต่อรองกันเหมือนที่เป็นข่าว บางอย่างตนให้รายละเอียดไม่ได้ เพราะจะเสียรูปคดี พร้อมยืนยันวันที่ 28 พ.ย ไม่ได้มีการจ่ายเงินอะไรกัน หากมีการจ่ายเงิน มันจะมาร้องตนทำไม ขอให้ฟังจากปากตนคนเดียว ถ้าฟังจากคนอื่นอาจจะบิดเบือน

วางแผนกับภรรยาแค่ 2 คน

"เขาเป็นใคร แล้วประเทศไทยจะอยู่อย่างไรถ้ามีคนประเภทนี้ ตนวางแผนกับภรรยาเพียง 2 คน โดยไม่ให้ทีมงานของรัฐมนตรีรับรู้หรือเกี่ยวข้อง เราก็พอมีเงินอยู่ สู้ไม่ได้ก็ให้ทนายสู้ ตนก็รวบรวมหลักฐานแล้วไปที่ ป.ป.ป. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ)

และด้วยความรำคาญที่ ตนไม่ผิด ตนสู้ตาย ตายเป็นตายไม่กลัวอยู่แล้ว ชีวิตเราเกิดได้ครั้งเดียว ถ้าไม่ผิดอย่ามาแกล้งกัน จะผิดไม่ผิดเป็นข้อกฎหมาย ตนเป็นข้าราชการถ้าผิดก็ต้องถูกสอบสวน แต่วันนี้ผลตรวจสอบออกมาแล้วว่าไม่มีมูล ตนไม่ผิด ทุกอย่างโปร่งใสชัดเจนตรวจสอบได้" นายณัฎฐกิตติ์ กล่าว

ส่วนทีมงานที่ปรึกษารัฐมนตรีนั้น รู้หลังจากที่ตนไปจับเรียบร้อยแล้ว ตนต้องขอโทษที่ไม่บอกให้รู้ล่วงหน้า เพราะตนกลัวทีมงานรัฐมนตรีเดือดร้อน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องศักดิ์ศรีของข้าราชการและคนๆหนึ่ง และตนเองที่ต้องมาเผชิญกับเรื่องแบบนี้ และอยากรู้เหตุผลว่าทำไมต้องทำแบบนี้ ตนยังไม่เคยเจอหน้ารัฐมนตรีเลย เพียงแต่ไปกราบขอโทษ รัฐมนตรีก็บอก ทำไปแล้วก็ทำไป และเป็นกำลังใจให้ แต่ต้องยอมรับความจริงนะว่า จะต้องถูกตรวจสอบอีกครั้ง ตนก็ยินดี

"เรื่องที่เจ็บใจที่สุด กว่าตนจะเลี้ยงไก่ได้แต่ละตัว กลับไปบอกภรรยาของตนว่า ค้าตีนไก่อีก นี่คือจุดที่แค้นมากเลย มันไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ผมอยู่กรมการข้าว ทำงานสุจริต ไปพูดเรื่อยเปื่อยได้อย่างไรคนเรา มันสะท้อนว่า สังคมไทยเป็นอย่างนี้หรือ ก็ต้องจัดการสิถ้าอย่างนั้น" นายณัฎฐกิตติ์ กล่าว

แค้นมากที่มายุ่งกับภรรยา ที่ไม่รู้เรื่องนี้

ส่วนเรื่องส่งออกตีนไก่ที่บอกว่า แค้นมากเพราะมายุ่งกับภรรยาตนที่ไม่รู้เรื่องนี้ จะเกี่ยวอะไรกับตนเกี่ยวอะไรกับภรรยาของตนภรรยาตนทำงานสุจริต

“ผมตั้งใจล่อซื้อเลย ต้องการล่อมัน ผมไม่ผิด และทำกับสังคมอย่างนี้ได้อย่างไร ก่อนจะล่อซื้อ ผมก็ไปคุยกับภรรยาก่อน ส่วนทำไมต้องล่อซื้อหลายครั้งนั้น เพราะครั้งเดียวจะไปจับได้อย่างไร ก็ต้องมีหลักฐานให้ชัดเจนแน่นหนา ไม่ได้ทำโดยพละการและผมก็ได้มีการพูดคุยกับทีมงานของรองผู้บัญชาการ

คนไม่ดีมีมาก ต้องติดกล้องรอบกรม

ส่วนเหตุผลที่ติดกล้องวงจรปิดรอบกรม เพราะคนชั่วเยอะ คนแอบอ้างเยอะ จริงบ้างเท็จจบ้าง ถ้าเราไม่ป้องกันไว้จะทำอย่างไร ถ้าผมไม่มีเครื่องมือสื่อสาร จะจับคนชั่วได้หรือ” อธิบดีกรมการข้าว กล่าว

ทั้งนี้ ตนไม่รู้ว่าเหตุใดจึงตกเป็นเป้าของ นายศรีสุวรรณ และไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง เพื่อสกัดตนเอง และไม่รู้ว่าเป็นเรื่องการเมืองหรือไม่

สำหรับโครงการต่างๆที่เป็นประเด็นนั้น สามารถตรวจสอบได้เลย และขณะนี้ก็มีการตรวจสอบอยู่ ที่ผ่านมากระทรวงแต่งตั้งกรรมการตั้งกี่ชุดให้มาตรวจตนเอง ถ้ามีความผิดจริงคงไม่ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว

ไม่รู้นักการเมือง ป. เป็นใคร

ส่วนที่มีกระแสข่าวว่ามี นายป. อดีตนักการเมืองเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยนั้น ตนไม่รู้ ใครพูดอะไรก็ไปว่ากันเอง และตั้งแต่เกิดเรื่องไม่มีนักการเมืองหรือผู้ใหญ่ในกระทรวงได้โทรมา ตนไม่รับโทรศัพท์ ใครทั้งนั้น ไลน์ก็ไม่อ่าน กับภรรยาก็ไม่ได้คุย และไม่มีใครอยู่เบื้องหลัง การเมืองก็ไม่มี ไม่มีใครมาสั่งตนได้  คนที่รู้เรื่องทั้งหมดมีแค่ตนกับภรรยาเท่านั้น เพราะมอบหมายให้ภรรยาดำเนินการทางคดีทั้งหมด เพราะตนเป็นข้าราชการไม่มีเวลาดำเนินการเอง

สำหรับงบ 15,000 ล้าน ที่เป็นประเด็นตนไม่ได้บริหารและได้ชี้แจงไปหมดแล้ว ตนไม่ได้เป็นคนโอนไปให้ธกส.หลังจากมีมติครม.ออกมา ว่าให้ข้าวไร่ละ1,000 บาท ตนเคยบอกทุกคนที่จะมาร้องว่า อย่ามาร้องเพราะมันไม่ใช่ความจริง อย่าไปตกเป็นเครื่องของคนอื่น ย้ำแล้วย้ำอีก ยังไม่เชื่อก็ฟัดเลยสิ ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้พูดกับนายศรีสุวรรณไปแล้วด้วย

ส่วนที่สังคมตั้งข้อสงสัยถึงภรรยาที่ดูจะรับรู้เรื่องในกรมนั้น นายณัฎฐกิตติ์ กล่าวว่า ไม่เป็นความจริง ภรรยาไม่ได้รู้เรื่องในกรม แต่ตนได้มอบหมายเรื่องนี้ให้ภรรยา ตนเป็นผู้บริหาร ภรรยาตนอยู่หลังบ้าน ภรรยาตนไม่เกี่ยว

แอบอ้างผู้ใหญ่เพื่อให้ตนกลัว

ส่วนที่มีคลิปเสียงที่ผู้ใหญ่บอกให้จ่ายเงินนั้น เป็นการแอบอ้างผู้ใหญ่ เพื่อให้ตนเกรงกลัว และที่ต่อรองก็เพราะจะเป็นหลักฐานเพื่อล่อซื้อจับเขา ต้องต่อรอง และยืดเวลาที่สุด ทำให้เนียนและหลักฐานแน่น ไม่ใช่จู่ๆจะไปจับเขาได้ และที่มีการต่อรองกันในคลิปเสียงนั้น ตนก็ไม่ทราบภรรยาเป็นคนคุย

พร้อมย้ำว่า ตนเองทำเรื่องนี้กับภรรยาแค่ 2 และตำรวจป.ป.ป. ซึ่งตนเก็บข้อมูลทุกวัน และได้รับการแนะนำว่า ต้องทำอย่างไร กว่าเขาจะไปจับใครได้เขาก็สอบตนเองก่อนแล้ว ส่วนรายละเอียดมากกว่านี้ตนพูดไม่ได้ เพราะอยู่ในสำนวนหมดแล้ว ทั้งระยะเวลาการเก็บข้อมูล จำนวนเงินที่จ่ายไปแล้ว

ถ้าไม่ออกมาเปิดโปง สังคมจะอยู่อย่างไร

“ผมบริสุทธิ์ ถามว่าถ้าผมไม่ออกมาเปิดโปง สังคมจะอยู่อย่างไร จะให้ข้าราชการถูกรังแกแบบนี้ไปตลอดหรือ ใครจะสู้บ้าง ผมสู้ผมเสี่ยงขนาดไหน ผมเป็นข้าราชการระดับสูงต้องเสี่ยงขนาดไหน ถ้าผมไม่มั่นใจจะเกิดอะไนขึ้น ถ้าเขาล่อผมกลับ ผมทำอย่างไร วันนี้เราต้องปกป้องศักดิ์ศรีของข้าราชการ ศักดิ์ศรีของผู้บริหารกระทรวงเกษตร” นายณัฎฐกิตติ์ กล่าวและกล่าวต่อ

ส่วนกรณีที่นายศรีสุวรรณไปร้องเรื่องฝนหลวงตนไม่ทราบและไม่ได้พูดคุยกับอธิบดีกรมฝนหลวงเลย หลังจากนี้จะเป็นเรื่องของกฎหมายไม่เกี่ยวกับตน ตนให้ข้อมูลอย่างเดียว ซึ่งขณะนี้ยังสอบไม่เสร็จคงใช้เวลาอีกเป็นเดือน และยังมีหลักฐานอีกมากที่จะไปมอบให้ตำรวจ ต้องให้เวลาตำรวจทำงานก่อน หลักฐานที่เปิดมาตอนนี้เป็นแค่เบื้องต้น

อย่างไรก็ตามการที่ออกมาแถลงข่าววันนี้ เพราะข่าวที่ออกไปก่อนหน้านี้ มีทั้งจริงบ้างไม่จริงบ้าง นักข่าวเขียนกันผิดๆถูกๆ ตนจึงต้องออกมาแถลง

\"อธิบดีกรมการข้าว\" เปิดแผนล่อซื้อ \"ศรีสุวรรณ\" แค้นใจ \"คนไม่ผิดมันเจ็บ\"

ด้าน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์หลังจากอธิบดีกรมการข้าว ได้ชี้แจงกับสื่อมวลชนแล้วเสร็จ หลังถูกถามว่า อยากบอกอะไรกับอธิบดีกรมการข้าวหรือไม่ ว่า ไม่ต้องบอกอะไร เราลูกพระเจ้าตากอยู่แล้ว ส่วนกรณีที่อธิบดีกรมการข้าวถูกเรียกรับเงิน ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนไปแล้วในช่วงเช้าที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนขึ้นประชุมคณะรัฐมนตรี

ทั้งนี้ได้โทรคุยกันทุกวัน กับอธิบดีกรมการข้าว ถ้าวันไหนไม่คุยกันรู้สึกเหงา ไม่ต้องพูดอะไรมาก ส่วนคุณนายติ๋ม ภรรยาของอธิบดีก็พูดคุยกัน ก่อนจะหันหน้าไปถามอธิบดีการข้าวว่าใช่ไหม ? ก่อนอธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า ขอบคุณครับนาย ที่ให้กำลังใจกัน

1.5 หมื่นล้าน กระทรวงฯไม่ได้ใช้ จะผิดอะไร 

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่าตั้งแต่แรกที่มีการร้องเรียน เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งมีหนังสือมาจะเท็จจริงอย่างไร ก็ต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ เพื่อให้โอกาสหน่วยงานที่ถูกร้องเรียนได้ชี้แจง ซึ่งปลัดกระทรวงก็ได้ตั้งกรรมการตรวจสอบตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งพบว่าไม่ผิด โดยเฉพาะประเด็นงบประมาณ 15,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณที่ เราจะนำมาพัฒนา คุณภาพข้าว สู่ ประชาชนทั้งหมด ทั้งนี้พอมีปัญหาเรื่องการที่จะต้องนำไปเยียวยาชาวนา ไร่ละ 1,000 บาท ธกส.ก็นำงบไปหมด กระทรวงฯ ไม่ได้ใช้เงินเลย จึงอยากถามว่าจะไปร้องเรียนเรื่องอะไร

เรื่องร้องเรียนต้องรายงานนายกฯ

ส่วนเรื่องอื่นๆ เรื่องของการพัฒนาช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรส่วนใหญ่ เป็นเรื่องที่เกษตรกรชาวนาได้ประโยชน์ทั้งนั้น ซึ่งสรุปได้ว่า เรื่องดังกล่าวไม่ผิด แล้วจะไปเอาผิดกับเขาอย่างไร ทั้งนี้ยืนยันว่า ตนเองไม่ได้เป็นกรรมการ แต่เป็นคนสั่งให้ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงหลังได้รับเรื่องร้องเรียน ซึ่งหน่วยงานที่ถูกพาดพิงก็ได้ชี้แจงไปแล้ว แต่เมื่อเป็นประเด็นสำคัญ ที่สังคมให้ความสนใจ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ก็ได้สั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งหากตรวจสอบแล้วเป็นอย่างไรก็จะต้องรายงานต่อคณะรัฐมนตรี ทั้งหมดมีกฎหมายรองรับตามระดับขั้นตอน

ส่วนกรณีที่นักร้องเรียน เวลาร้องเรียนเรื่องอะไรก็ถูกจับมาเป็นประเด็น ก็มองว่าไม่ถูก เพราะต้องให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้ถูกร้องและผู้ร้องก็ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง การทำงานของตนไม่ได้ทำตามกระแส เช่น หากมีเรื่องร้องเรียนมาปุ๊บก็จะปลดออกจากตำแหน่ง หรือสั่งย้ายออกจากตำแหน่ง ในอดีตก็มีบทเรียน คนสั่งย้ายถูกฟ้องตามมาตรา 157 ติดคุกติดตารางกันมาก ดังนั้นต้องมีหลักการทำงาน ตามกฎหมาย ไม่ใช่กดหมู่ตามกระแสหรือตามนักร้อง เมื่อถูกร้องแล้วมาลงโทษลูกน้องมันไม่ใช่แนวทางของตนเอง

มีพวกหิวแสง จุดประเด็นโดยไม่รู้ข้อเท็จจริง

ส่วนกรณีที่มีที่ปรึกษารัฐมนตรีในเรื่องดังกล่าว ที่ถูกพาดพิงนั้น ตนเองและอธิบดีกรมการข้าวก็ได้ชี้แจงไปทั้งหมดแล้ว การร้องเรียนนั้นเชื่อว่า มีหลายกรมในสังกัดกระทรวงเกษตรถูกร้องเรียน เพียงแต่ว่าไม่มีใครกล้าเปิดหน้า ปกป้ององค์กรของตนเอง ซึ่งมีหลายกระทรวงที่รัฐมนตรีหลายคนได้พูดคุยกัน ทุกคนก็ไม่อยากให้เป็นประเด็น แต่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เกี่ยวข้องกับเกษตรกว่า 50 ล้านคน เวลาจะทำอะไรก็ต้องละเอียดอ่อน ไม่ทำตามกระแส หลังเกิดเรื่องดังกล่าวก็พบว่า มีพวกหิวแสง จุดประเด็นโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงวันนี้หลายคนก็ถูกฟ้อง

ซัดคนเก่าไม่ใช่แนวทาง "ธรรมนัส"

ส่วนกรณีที่ มีการพาดพิงถึงอดีตนักการเมืองป. ร.อ.ธรรมนัส กล่าว่า ไม่อยากให้ไปพาดพิงถึง เพราะชั่วโมงนี้ตนเองมาปัดเป่า มาปัดกวาดบ้านหลังนี้ให้สะอาด ในสิ่งที่ผ่านมาจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจากตนเองเป็นนักการเมือง จะต้องให้เกียรตินักการเมืองด้วยกัน ไม่ใช่ว่าวันนี้ตนเองมานั่งอยู่ตรงนี้แล้วจะไปซัดคนเก่า ไม่ใช่แนวทางของ “ธรรมนัส” การเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง การจะพูดอะไรก็ต้องรับผิดชอบคำพูดตัวเอง

ยังไม่รู้ อธิบดีกรมฝนหลวง ถูกเรียกกว่า 100 ล้าน

กรณีที่อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ถูกนายศรีสุวรรณ ร้องเรียนเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา เป็นการร้องเรียนอย่างเดียวหรือเป็นการตบทรัพย์ด้วยหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เรื่องนี้ก็ได้ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ส่วนที่มีรายงานว่า อธิบดีกรมฝนหลวงถูกเรียกทรัพย์ในลักษณะเดียวกันกว่า 100 ล้านนั้น ตนเองไม่ทราบและไม่มั่นใจ เพราะไม่เคยเข้าไปยุ่ง แต่เมื่อไรที่ทราบว่าลูกน้องถูกรังแก แล้วไม่ผิด จะไม่ยอมปล่อยให้ลูกน้องตนเองถูกรังแก จะต้องบังคับใช้กฎหมายเป็นหลัก

เมื่อถามว่า เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นกับรัฐบาลชุดก่อน ทำไมถึงเพิ่งถูกร้อง ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ขอให้เอากลับไปคิดเอง ส่วนกรณีที่อธิบดีกรมการข้าวกับภรรยา ทำการล่อซื้อเข้าใจได้ว่า หากอธิบดีโดนคนเดียวคงไม่เป็นไร แต่อธิบดีไม่ยอมที่มีคนในครอบครัวถูกก้าวล่วง จึงอยากถามกลับว่า ใครรับได้บ้าง เมื่อมีคนไปยุ่งเรื่องครอบครัว เรื่องลูก เรื่องภรรยา มันเกินจะรับได้ เรื่องดังกล่าวขออย่าหลงประเด็นว่า กระทรวงเกษตรเป็นจำเลย ย้ำว่ากระทรวงเกษตรเป็นผู้ถูกกระทำ

ระดับรัฐมนตรีจะไปสมรู้ กับคนรีดเงินเนี่ยนะ

ส่วนกรณีที่มีคนพาดพิงถึง ร.อ.ธรรมนัส ว่ามีการสมรู้ ในเรื่องดังกล่าว อยากถามกลับว่า สมรู้ในเรื่องอะไร และถ้าตนสมรู้จริงๆ จะพูดคุยกับอธิบดีหรือ และระดับรัฐมนตรีว่าการฯ ไปสมรู้กับคนรีดเงินล้านห้าเนี่ยนะ พร้อมย้ำว่า เรื่องนี้ตนเองให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายข้าราชการ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไม่ต้องเป็นห่วง แต่ถ้ามีใครพาดพิงถึงตนเอง ก็จะดำเนินคดีหมด เพราะตนเองไม่รู้เรื่องด้วยและที่เป็นประเด็น ตนเองก็ไม่ทราบว่ามีใครอยู่เบื้องหลัง

\"อธิบดีกรมการข้าว\" เปิดแผนล่อซื้อ \"ศรีสุวรรณ\" แค้นใจ \"คนไม่ผิดมันเจ็บ\"

ขณะที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยถึง กรณีนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นำเอกสารแชทระหว่าง “นายเอก” และ “นายธนดล” มามอบให้กับตนเอง โดยระบุว่า เรื่องนี้ยังไม่มีการหารือ เนื่องจากนายธนดลตอนแรกประสานจะเข้ามาพร้อมกับนายอัจฉริยะ แต่ติดภารกิจไม่ได้เข้ามา จึงนัดหมายเจรจากันในภายหลัง พร้อมยืนยันว่า นายธนดล ไม่ใช่  ”หมู“ ที่นายอัจฉริยะเคยบอกว่า เป็นตัวกลางพาอธิบดีและภรรยาไปที่บ้าน นายศรีสุวรรณ โดยนายหมู มีชื่อจริงว่า “สุธี” เป็นที่ปรึกษาอีกคนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ

ที่ปรึกษารัฐมนตรี ไม่มีบทบาท

โดยนายหมู ไม่ได้มีบทบาทอะไรในคดี แต่เมื่อมีเรื่องร้องเรียนเกิดขึ้นในกระทรวงเกษตรฯ ก็เชื่อว่าผู้บังคับบัญชาใช้ให้ไปเคลียร์ปัญหา ซึ่งผู้บังคับบัญชาก็คงอยากแค่ให้เคลียร์ให้จบ โดยไม่ได้ดูในรายละเอียดว่าจะไปดำเนินการอย่างไร ซึ่งภรรยาของอธิบดียืนยันกับตำรวจว่า นายหมูไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการตบทรัพย์ แต่ตำรวจก็ยังไม่ปักใจเชื่อ ยังต้องมีการขยายผล  โดยจะมีการเชิญนายหมูเข้ามาให้ปากคำในสำนวนด้วย

ทั้งนี้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ไม่ขอตอบในรายละเอียดของการเจรจาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 ว่ามีการจ่ายเงินในวันดังกล่าวด้วยหรือไม่ โดยระบุว่า ขอสงวนไว้ก่อน

นอกจากนี้ยืนยันว่า นายธนดล ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคดี แต่ได้รับความไว้วางใจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ให้มาตรวจสอบเรื่องนี้ โดยเชื่อว่านายธนดลมีข้อมูลที่จะนำเข้ามาพูดคุยกับตนเอง

มีข้าราชการการเมืองที่มีชื่อเสียง จ่อแจ้งความอีก

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เปิดเผยอีกว่า นอกจากกรณีของอธิบดีกรมการข้าว ล่าสุดมีข้าราชการการเมืองที่มีชื่อเสียง ประสานติดต่อเข้ามาว่าจะมาเข้าพบ เพื่อแจ้งความ หลังถูกกลุ่มของนายศรีสุวรรณ เรียกรับผลประโยชน์ในลักษณะเดียวกัน แต่ยังไม่ได้พูดคุยในรายละเอียด

ส่วนกรณีที่ปรึกษากฎหมายของ อธิบดีกรมการข้าว กังวลปมนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ ”เจ๋ง ดอกจิก“ ถูกปลดจากคณะทำงานเขตตรวจราชการที่ 11 ของรองนายกรัฐมนตรี(นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 จะไม่เข้าข่ายเป็นเจ้าหน้าที่รัฐขณะเรียกรับผลประโยชน์แล้ว จะทำให้ข้อหาอ่อนลงนั่น พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ชี้แจงว่า หากมีคำสั่งปลดก่อนเรียกรับผลประโยชน์จริง นายยศวริศ จะไม่เข้าข่ายเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แต่เบื้องต้นยังไม่เห็นคำสั่งปลด และก่อนที่จะมีการออกหมายจับ ได้รับการยืนยันจาก ป.ป.ช. แล้วว่า นายยศวริศ มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐในขณะกระทำความผิด หากมีคำสั่งปลดจริง ก็จะต้องตรวจสอบเอกสารให้ชัดเจน

พิมณัฏฐา เจ้าหน้าที่รัฐแน่ 

อย่างไรก็ตาม ในขบวนการนี้ มีคนที่เข้าข่ายเป็นเจ้าหน้าที่รัฐแน่ๆ ขณะเรียกรับผลประโยชน์ คือ น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ หรือ “ตูน” ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นคณะทำงานเขตตรวจราชการที่ 11 ของรองนายกฯ เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2567 ก่อนมีการล่อซื้อที่บ้านนายศรีสุวรรณ เพราะเป็นคนเจรจานัดหมายในการวางเงินวันนั้น ซึ่งเมื่อมีหนึ่งคนเข้าข่ายเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ร่วมขบวนการก็ต้องเข้าข่าย “สนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐฯ” ซึ่งตามกฎหมายจะต้องรับโทษ 2 ใน 3 

อยากเจอหัวหน้ายักษ์

เมื่อถามว่าการทำคดีนี้ กลัวจะเป็นการล้มยักษ์หรือเปล่า เพราะเริ่มมีรายงานข่าว ผู้ใหญ่โทรเบรกทางฝั่งที่ปรึกษากฎหมายของอธิบดี พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ไม่กลัว พร้อมชี้ ต้องใช้คำว่า ท้าวเวสสุวรรณหรือว่ารูปปั้นยักษ์หน้า บก.ปปป. ว่า ตัวใหญ่กว่า และ''อยากเจอหัวหน้ายักษ์  เพราะเชื่อว่ายักษ์จะตัวใหญ่แค่ไหนก็สู้ความจริงไม่ได้"

ทั้งนี้ก่อนให้สัมภาษณ์ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ แจ้งกับสื่อมวลชน ย้ายจุดมาให้สัมภาษณ์ ที่บริเวณรูปปั้น ยักษ์ หน้าลิฟต์ โดยกล่าวว่า “ครั้งนี้รบกับยักษ์ แต่รับประกันว่ายักษ์ที่สู้ ตัวเล็กกว่ารูปปั้น” ส่วนคดีนี้จะเข้าข่าย พ.ร.บ. ฟอกเงิน หรือไม่นั้น ขอคุย พนักงานสอบสวนก่อน