16 มกราคม 2567 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงชี้แจงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ DSI ออกหมายจับนายสมเกียรติ กอบไพศาล อดีตเลขาของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กับพวกรวม 5 คนในคดีลักลอบนำเข้าตีนไก่เถื่อนก่อนสวมสิทธิ์ส่งขายให้สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งพบว่าคดีนี้มีความเชื่อมโยงกับขบวนการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนที่ DSI รับเป็นคดีพิเศษ
โชว์หนังสือมอบอำนาจ ให้ "ประภัทร" คุมปศุสัตว์
โดยนายสมเกียรติ ได้เข้ามามอบตัวกับ DSI และปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาก่อนได้รับการประกันตัว ทำให้วันนี้ นายเฉลิมชัย โชว์หนังสือ มอบอำนาจ ตอนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่าได้มอบหมายให้นาย ประภัทร โพธสุธน อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับอำนาจเต็มในการทำงานแบบเด็ดขาด แต่ที่ตนต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องหมูเนื่องจากขณะนั้นมีการระบาดของโรคอหิวาในหมู(ASF) ซึ่งต้องตั้งคณะกรรมการระดับประเทศและหากสื่อได้ติดตามจะพบว่าตนเคยประกาศนโยบายชัดเจนให้มีการล้างบางหมูเถื่อนและไม่รับเคลียร์ รวมทั้งตนเคยนำทีมจับกุมและทำลายหมูเถื่อนได้มากถึง 1 ล้านกิโลกรัม
เชื่อถูกการเมืองเล่นงาน
ดังนั้น ตนจึงมองว่า 2-3 เดือนที่ผ่านมามีความพยายามที่จะเชื่อมโยงเรื่องนี้ให้ตนเข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่เป็นผลจากการเมือง จะเห็นได้จากกระบวนการที่ทำให้สังคมเข้าใจผิดว่าตนมีส่วนในการกระทำความผิดเหล่านี้
"ตนเองและครอบครัวตนเองไม่ทำเรื่องสกปรก โสโครก เหล่านี้ ไม่รับเงินพวกนี้ แม้แต่สลึงเดียวหรือบาทเดียว พูดไปกี่ครั้งแล้วว่าถูกกระบวนการทำลาย ไม่เคยให้น้องหรือมีตัวแทนไปรับเงินพวกนี้แม้แต่บาทเดียว ไม่เคยเอื้อประโยชน์ในสิ่งที่ผิดกฎหมายให้กับใครทั้งสิ้น มีหลักการทำงานของ อย่าว่าแต่คนใกล้ชิดแม้แต่คนในครอบครัวถ้าทำผิด ก็ไม่ปกป้อง 100%"
นายเฉลิมชัย จึงฝากให้ฟังเหตุผล เพราะทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน หากทำผิดก็ต้องรับโทษ ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องต้องถูกดำเนินการลงโทษทั้งสิ้น พร้อมท้าให้บอกชื่อนักการเมืองที่เกี่ยวข้อง อย่าทำให้กำกวมจนทำให้ประชาชนคิดว่าเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอให้เลิกเสียที กว่าความจริงกับปรากฏความเสียหายก็เกิดขึ้นแล้ว
นายเฉลิมชัย ยังยอมรับว่าวันนี้รู้สึกสบายใจ เพราะคนรอบข้างที่ถูกบอกว่าเกี่ยวข้องเข้าสู่ ซึ่งตอนจะไม่เข้าไปก้าวก่าย แต่ถ้าทำผิดก็ต้องได้รับโทษหากไม่ผิดก็ต้องต่อสู้ตามกระบวนการ
อย่างไรก็ตามนายเฉลิมชัย ยังยกรัฐธรรมนูญมาตรา 29 วรรค 2 ที่บอกว่า หากไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดถือว่าไม่มีความผิด จึงต้องได้รับการคุ้มครองตามสิทธิ์ แต่กลับโดนกระบวนการศาลเตี้ยตัดสินไปแล้ว
เมื่อถามว่าทำไมถึงเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องทางการเมือง นายเฉลิมชัย กล่าวว่า ตนเป็นนักการเมืองจึงมองเป็นเรื่องอื่นไม่ได้และเชื่อมั่นว่าทุกฝ่ายรู้ว่าตนไม่เกี่ยวข้อง จึงพยายามดึงคนรอบข้างของตนเองให้เกี่ยวข้อง ทำให้มองเป็นเรื่องอื่นไม่ได้ จึงตีความได้แค่เรื่องเดียวว่าเป็นเรื่องการเมือง และคิดว่าไม่เกี่ยวข้องกับการถูกสกัดไม่ให้ร่วมรัฐบาล
ขู่ฟ้องคนทำให้เสียหาย
นอกจากนี้ นายเฉลิมชัย ยังไม่ได้ปฏิเสธว่านาย หลี่ เซิ่งเจียว (เฮียเก้า) ไม่ใช่ญาติ แต่ไม่ใช่พี่น้องกัน และมีความพยายามโยงว่าใกล้ชิดกัน พร้อมถามหาจรรยาบรรณสื่อมวลชนหากได้รับผลกระทบจากการนำเสนอข่าวตนจะฟ้องแน่นอน ตนไม่ได้กลั่นแกล้งหรือระรานใคร จะทำเพื่อปกป้องตนตัวเองและองค์กรที่ตนเองอยู่ไม่ให้เกิดความเสียหายเท่านั้น
ส่วนภาพที่ปรากฏเป็นข่าวเดินทางไปพบกับประธานหอการค้าวิสาหกิจจีน นั้นเป็นการได้รับเชิญ เนื่องจากเคยทำงานร่วมกันตั้งแต่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้มีภาพร่วมเฟรมกับเฮียเก้า ดังนั้นการบิดเบือนหรือความไม่รู้ของอดีตแม่ยกประชาธิปัตย์ อาจกระทบต่อการลงทุนของประเทศได้