
10 ธันวาคม 2566 นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา เปิดงาน วันฉลองรัฐธรรมนูญประจำปี 2566 อย่างเป็นทางการ โดยระบุว่า วันรัฐธรรมนูญ มีจุดประสงค์ เพื่อให้คนในชาติระลึกถึงความเป็นเอกราช ภายใต้การปกครองอิสระ ที่มีกฎเกณฑ์ เคารพสิทธิหน้าที่และมีเสรีภาพของบุคคล ความเป็นธรรมของมนุษยชาติ ตลอดจนการดำเนินกิจกรรมต่างๆอย่างสมดุล เป็นเจตนารมย์หลักของรัฐธรรมนูญ ตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ตั้งแต่ปี 2475 จนถึงปัจจุบัน ไม่ได้มีรัฐธรรมนูญเพียงฉบับเดียวเป็นฉบับถาวร แต่มีการยกร่างมาประกาศใช้ใหม่หลายครั้ง มีการฉีกทิ้งจนไม่อยากจะนับครั้ง ปรากฎการณ์สะท้อนถึงการแย่งชิงอำนาจ สลายอำนาจ และสืบทอดอำนาจ การยกเลิกรัฐธรรมนูญ มักเกิดขึ้นจากการปฏิวัติ รัฐประหาร ยึดอำนาจการปกครอง และยกเลิกสภาฯ แล้วจัดการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ ในนามคณะของตน จัดตั้งรัฐบาลและสภาฯของตน เพื่อดำรงใช้อำนาจบริหารประเทศ
ทำให้ศักดิ์ศรีความเชื่อมั่น ความศรัทธา ของรัฐธรรมนูญและระบบรัฐสภา เสื่อมถอยลงอย่างน่าเสียดาย ศักดิ์ศรี อำนาจ ของหัวหน้าคณะปฎิวัติ หัวหน้าคณะรัฐประหาร สูงกว่ารัฐธรรมนูญ จึงเห็นว่าวันที่ 10 ธันวาคม นอกจากจะเป็นวันรำลึกถึงรัฐธรรมนูญแล้ว ยังเป็นวันที่ต้องอาลัยในการสูญเสียศักดิ์ศรีของรัฐธรรมนูญด้วย
นอกจากนี้กฎหมายที่ผ่านมา มักเป็นการเพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐ มากกว่าพิทักษ์อำนาจของประชาชน เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ความยากจน หนี้สิน ปัญหาสังคมและยาเสพติดตามมา รวมทั้งการตีความให้ความเห็นข้อกฎหมาย ที่ต้องใช้กฤษฎีกาหรือศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นองค์กรที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ไม่ใช้องค์กรของรัฐสภาที่เป็นผู้ผลิตกฎหมายมาใช
อย่างไรก็ตามวันนี้เรายังควรรำลึกถึงรัฐสภา สถานการณ์การเมืองรัฐสภายังดำรงอยู่ ประหนึ่งว่าเป็นส่วนราชการ มากกว่าของประชาชน จึงเห็นว่าเราน่าจะข่วยกันคิดว่า ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่จะทำให้ รัฐสภาเป็นสถาบันการเมืองของประชาชนอย่างมีศักดิ์ศรี มีภาระกิจสร้างความสมดุล ระหว่างองค์กร อำนาจ พิทักษ์รับรองสิทธิของทุกคน
ถึงเวลาที่เราจะต้องแก้ไขปรับปรุงโครงสร้างการบริหารรัฐสภา และแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้คุ้มครองความเสมอภาคแห่งสังคมพหุวัฒนธรรม ให้มากยิ่งขึ้น โดยปราศจากความขัดแย้งและแตกแยก
รัฐธรรมนูญเป็นกฏหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติของกฎหมายใด กฎหรือข้อบังคับ หรือการกระทำใดที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทำนั้น จะเป็นการใช้บังคับไม่ได้ โดยหลักการแล้วการใช้อำนาจด้วยอาวุธปืน ทำการปฏิวัติ รัฐประหาร กำหนดกฎเกณฑ์บังคับใช้กับประชาชน ใช้อำนาจตัดสินคดีโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมศาล เป็นสิ่งที่ละเมิดวัฒนธรรม จริยธรรม รัฐธรรมนูญ ระบอบประชาธิปไตยทั้งสิ้น
แต่การกระทำโดยวิธีการเหล่านี้ ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง จนเคยชินกลายเป็นวัฒนธรรมการปกครองของไทย โดยไม่มีความผิดใดๆ ข้อกังขาและการกระทำดังกล่าวนี้ เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น ที่ทำให้ รัฐธรรมนูญไร้ศักดิ์ศรี รัฐสภาไร้เกียรติ อำนาจประชาชนถดถอย วัฒนธรรมจริยธรรมแห่งระบบประชาธิปไตยถูกละเลยรัฐธรรมนูญเป็นแค่กระดาษ เท่ากับว่าอำนาจประชาธิปไตยของประชาชน ไม่ได้มีอยู่จริง
ประธานรัฐสภา กล่าวต่อ 10 ธ.ค.ปีนี้ ขอให้เป็นรัฐธรรมนูญแห่งความหวังของประชาชน เป็นวันที่จะสถาปนาระบบรัฐสภา ให้เป็นสถาบันการเมืองของประชาชนและระบอบประชาธิปไตยของประเทศ ที่จะต้องพิทักษ์ความเป็นสิทธิมนุษยชน เป็นวันแห่งสันติภาพ อิสรภาพ เสรีภาพ
หวังว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญในอนาคต จะช่วยลดบรรยากาศความขัดแย้ง ระหว่างรัฐกับประชาชน และประชาชนกับประชาชน โดยใช้กลไกลระบบรัฐสภา ในการคุ้มครองประชาชนอย่างสมดุล เพื่อรักษาอำนาจของประชาชน ไม่ให้ตกอยู่กับคนในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
ด้าน นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตประธานรัฐสภา ปาฐกถาพิเศษ "ความสำคัญของวันรัฐธรรมนูญ" โดยเล่าย้อนถึงภาพรวมพัฒนาการ และวิวัฒนาการของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทั้ง 20 ฉบับ ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 และมีรัฐธรรมนูญฉบับแรก จนถึงฉบับปัจจุบัน พร้อมกล่าวตอนหนึ่งว่า
การเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปในรอบ 90 ปี ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 มีรัฐธรรมนูญฉบับแรก มันทำให้คนที่รังเกียจการเมือง แต่รู้ว่าการเมืองมีประโยชน์ต่อธุรกิจที่เปลี่ยนไป รัฐธรรมนูญสมัยนี้ก็เปลี่ยนไป คนเข้ามามีอำนาจ บันดาลได้ สามารถรู้ว่างบประมาณปีนี้มีเท่าไร ถ้ายิ่งเป็นเจ้าของบริษัทก่อสร้าง จะรู้ได้เลยว่ามีเท่าไร ยืนยันว่า ตนเข้ามาในระบบไม่ใช้เงิน ตนรับไม่ได้ และรณรงค์เพราะเห็นความจริงว่า การเมืองของเราถ้าใช้เงินต้องโกง
นายชวน กล่าวอีกว่า ไม่มีเรื่องการลงทุน 50 ล้านบาท แล้วเอาคืนเดือนละแสน ตัวเองไม่โกง พรรคก็ต้องโกง อย่าไปคิดว่าต้องเป็นรัฐบาลแล้วโกง ฝ่ายค้านก็โกงได้ เพราะมีการประสานผลประโยชน์กัน ดังนั้นรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายหลักของประเทศสำคัญก็จริง แต่คนก็ต้องดีด้วย ไม่ใช่ดีแต่คำพูด ไม่ใช่ดีแต่บอกว่าปฏิรูปการเมืองไม่ใช่ไม่ดี แต่ต้องบอกว่าทำให้การเมืองซื่อสัตย์ กฎหมายดีคนก็ต้องดีด้วย ตนหวังว่าทุกคนจะได้มีส่วนสนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตยให้มั่นคงสืบไป
ขณะที่ นายนิกร จำนง ประธานคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 กล่าวถึงการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนว่า ได้ดำเนินการครบทั้ง 4 ภาคแล้ว ซึ่งได้รับคำตอบภาพรวมค่อนข้างดี โดยประชาชนอยากให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และอยากให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้น ซึ่งจะมีการสรุปปัญหาเพื่อกำหนดในรัฐธรรมนูญ โดยคณะอนุกรรมการฯ จะต้องรวบรวมเพื่อส่งให้ ส.ส.ร.ที่จะมีขึ้น
ส่วนการขอความเห็นจากสมาชิกรัฐสภานั้น นายนิกร เปิดเผยว่า ได้ทำจดหมายไปถึงนายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรแล้ว โดยจะมีการสอบถามความคิดเห็น สส. ระหว่างวันที่ 13-14 ธ.ค. และสมาชิกวุฒิสภา ได้พูดคุยกับนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา จะเป็นวันที่ 18-19 ธ.ค.นี้
หลังจากนั้นในวันที่ 22 ธ.ค. คณะอนุกรรมการฯ จะสรุปงาน และถือว่าเสร็จภารกิจในห้วงนี้แล้ว ขณะที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะประธานคณะกรรมการฯชุดใหญ่ จะเรียกประชุมคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ในวันที่ 25 ธ.ค.เพื่อหาข้อสรุปก่อนสิ้นปี
อย่างไรก็ตาม คณะอนุกรรมการชุดของนายวุฒิสาร ตันไชย ที่จะพิจารณาเรื่องประชามติเชิงกฎหมายได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมา เพื่อพิจารณาข้อกฎหมายโดยเฉพาะว่า หากจะแก้ พ.ร.บ.ประชามติ โดยเฉพาะในมาตรา 13 เรื่องผลผู้ออกมาใช้สิทธิ์ลงคะแนน เพื่อหาแนวทางแก้ไขให้การดำเนินการจัดการประชามติออกมาได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ ในวันพรุ่งนี้ (11 ธ.ค.) ตนจะพบและหารือกับเอกอัครราชทูตสวิตเซอร์แลนด์ และคณะทำงานของอนุกรรมการ เพื่อขอรับฟังความคิดเห็นและศึกษาแนวทางของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เนื่องจากเป็นประเทศที่ทำประชามติเป็นจำนวนมาก และใช้อย่างมีนัยสำคัญ เพื่อจะได้ดูว่าจะใช้งบลดลงได้หรือไม่ ทำเพื่อเรื่องอื่นๆนอกเหนือจากรัฐธรรมนูญได้หรือไม่
สำหรับการประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ ในวันที่ 25 ธ.ค. นายนิกร เปิดเผยว่า จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนออกมาในแนวทางใด แต่สิ่งสำคัญคือ ความเห็นของสมาชิกรัฐสภา ที่ต้องตอบในฐานะผู้ที่จะลงคะแนนในเรื่องนี้ด้วย