
16 พฤศจิกายน 2566 นายนิกร จำนง ในฐานะโฆษกและกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่าง ในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เปิดเผยถึงกรอบเวลาการลงพื้นที่ เพื่อรับฟังความคิดเห็นประชาชน ประกอบการศึกษาแนวทางในการทำประชามติ และแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ในวันที่
โดยจะนำความเห็นที่ได้ทั้งหมดมาสรุป เพื่อตั้งคำถาม และเมื่อเปิดสมัยประชุมสภาแล้ว จะมีการทำแบบสอบถามความเห็นประชามติ และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จาก สส. และ สว. ทั้ง 750 คน โดยไม่มีการขอเปิดประชุมรัฐสภานัดพิเศษ และคาดว่า จะสามารถสรุปความเห็นทั้งหมดที่คณะกรรมการได้รับ เพื่อเสนอที่ประชุมคณะกรรมการฯ ในวันที่ 22 หรือ 23 ธันวาคมนี้ รวมถึงในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคม เพื่อสรุปแนวคำถาม และจำนวนครั้งในการทำประชามติ เมื่อขึ้นศักราชใหม่ 2567 ก็จะสรุปความเห็นทั้งหมด ให้คณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
ส่วนกรณีที่การจัดการออกเสียงประชามติ จะไปทับซ้อนกับการจัดการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดด้วยนั้น นายนิกร กล่าวว่า ในการจัดการออกเสียงประชามติ ครั้งที่ 2 ในช่วงเดือนพฤศจิกายน หลังการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เสร็จ ซึ่งสามารถดำเนินการไปพร้อมกันได้ เพื่อให้ประชาชนใช้สิทธิ์ควบคู่กัน เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณด้วย แต่การจัดการออกเสียงประชามติครั้งแรกนั้น ไม่มีปัญหา
นายนิกร กล่าวต่อ ถึงปัญหาในพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการจัดการออกเสียงประชามติว่า ในมาตรา 13 ที่กำหนดเงื่อนไขการผ่านประชามติ 2 ชั้น คือ ทั้งเป็นเสียงประชาชนข้างมากที่มีสิทธิเลือกตั้ง หรือประมาณ 26 ล้านผู้มีสิทธิ์ และจะต้องได้รับเสียงข้างมากของประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้ง หรือประมาณ 13 ล้านเสียง ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในทางปฏิบัติ ตนเองและคณะอนุกรรมการฯ ที่ตนเองดูแล จะเสนอให้คณะกรรมการชุดใหญ่รับทราบในวันที่ 24 พฤศจิกายน เพื่อเสนอให้มีการแก้ปัญหาดังกล่าวนี้ต่อไป โดยอาจจะต้องเสนอเป็นพระราชบัญญัติแก้ไข พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติ และดำเนินการพิจารณาในที่ประชุมรัฐสภา เนื่องจาก เป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูป
ทั้งนี้ในการประชุมคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน กล่าวถึงกรณีการริเริ่มแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ.2564 หลังจากที่พรรคก้าวไกลแสดงความเห็นสนับสนุนว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเพียงความเห็นของอนุกรรมการที่รับฟังความเห็นจากภาคส่วนต่างๆ ซึ่งในวันที่ 20 พฤศจิกายน นี้ ต้องนำเสนอให้คณะกรรมการชุดใหญ่ ที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะประธานกรรมการ ซึ่งต้องฟังและพิจารณาอีกครั้งว่าจะมีความเห็นอย่างไร
สำหรับการเสนอแก้พ.ร.บ.ประชามตินั้น ในชั้นนิติบัญญัติ พรรคการเมืองสามารถเสนอร่างแก้ไขให้สภาฯ พิจารณาได้ ไม่จำเป็นที่รัฐบาลต้องนำเสนอเอง ส่วนวิธีการนั้นเบื้องต้นเห็นว่า ต้องเข้าสู่วาระพิจารณาของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา เนื่องจากพ.ร.บ.ประชามติถือว่า เป็นกฎหมายปฏิรูปประเทศ และใช้กลไกของที่ประชุมร่วมรัฐสภาและกรรมาธิการร่วมกันของรัฐสภาพิจารณา ดังนั้น หากจะแก้ไขต้องใช้กระบวนการของที่ประชุมร่วมกัน ซึ่งจะไม่ใช้เวลานาน
เมื่อถามว่า หากการแก้พ.ร.บ.ประชามติเกิดขึ้น จะทำให้ยืดเวลาแก้รัฐธรรมนูญตามไทม์ไลน์ของรัฐบาลหรือไม่ นายนิกร ชี้แจงว่า เป็นการแก้ไขเพียงประเด็นเดียว คือ มาตรา 13 ว่าด้วยหลักเกณฑ์ที่จะเป็นเงื่อนไขของการผ่านประชามติ คือ ต้องมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์เกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง และเสียงเห็นชอบต้องเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิ์ จึงเชื่อว่าจะใช้เวลาไม่นาน แต่จะไม่ถึงขั้นต้องใช้การพิจารณา 3 วาระรวด เนื่องจากขณะนี้มีประเด็นพิจารณาที่อยากให้แก้ไข คือ แก้ไขให้ใช้เกณฑ์เสียงข้างมากของเสียงที่เห็นชอบหรือมีเงื่อนไข เช่น 25% ของผู้ลงคะแนนเป็นต้น ดังนั้นต้องใช้เวลาพิจารณาให้รอบคอบ