svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

ชำแหละทางตัน! ล้มเรือดำน้ำไทย! กับปัญหาที่มาถึงจุดสุดท้าย

25 ตุลาคม 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ปัญหาเรือดำน้ำที่ราชนาวีสั่งต่อจากจีน เป็นปัญหาสืบเนื่องมาโดยตลอด และกลายเป็น "สารตกค้าง" มาจากยุค คสช. ที่คาราคาซัง

"ดร.สุรชาติ บำรุงสุข" อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นปมเรือดำน้ำจีน โดยแจกแจงไว้ดังนี้ "ถือเป็นโจทย์ที่ผ่านมือผู้บัญชาการทหารเรือมาหลายนาย จนถึงยุครัฐบาลปัจจุบัน ที่มีกำหนดเวลาที่จะต้องตัดสินใจ และไม่สามารถที่จะปล่อยผ่านไปได้อีก"

บทความนี้จะทดลองรวบรวมประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น และนำเสนอเป็นข้อพิจารณาอย่างสังเขป 13+1 ประการ ดังนี้

1. การแลกเรือดำน้ำกับเรือรบบนผิวน้ำ เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะจะทำให้ไทยไม่ต้องเผชิญกับปัญหาเรือดำน้ำที่มีปัญหาเครื่องยนตร์ ซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่มีทางออก และต้องถือว่าปัจจุบัน ปัญหานี้ถึง “ทางตัน” แล้ว และต้องการการแก้ปัญหาในระดับรัฐบาล

2. ความคิดที่จะให้ฝ่ายไทยล้มโครงการ และฝ่ายจีนคืนเงินให้ น่าจะเป็นไปได้ยาก แม้ผู้ขายจะไม่สามารถดำเนินการให้ครบตามความตกลงก็ตาม เพราะเรื่องนี้เป็นปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และไทยไม่ใช่รัฐมหาอำนาจ ที่มีอำนาจการต่อรองมาก จนสามารถบังคับจีนได้ตามที่เราต้องการ

3. ต้องทำความเข้าใจว่า ปัญหาเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ต้องแตกหักกับจีน หรือจัดการในแบบ “ชนกับจีน” (ตามที่มีบางฝ่ายเรียกร้องในสื่อสังคมออนไลน์) เช่นในแบบฟิลิปปินส์ หรือเวียดนาม ซึ่งเป็นปัญหาข้อพิพาทเรื่องดินแดน (แตกต่างอย่างมากกับปัญหาเรือดำน้ำ)

4. ขณะเดียวกันไม่ชัดเจนว่า มีประเด็นที่ไทยเป็นฝ่ายละเมิดสัญญาหรือไม่ เช่น ปัญหาการจ่ายเงินช้าในช่วงโควิดดังที่เคยปรากฏเป็นข่าว และได้รับการผ่อนผันจากจีน

5. การจัดซื้อเรือดำน้ำ ไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องการซื้อสินค้าตามปกติ แต่เป็นการซื้ออาวุธ ที่มีนัยของการเมืองระหว่างประเทศของความสัมพันธ์ไทย-จีน และหากเกิดเป็นข้อพิพาทขึ้น ย่อมไม่เป็นผลประโยชน์ต่อไทยในปัจจุบัน ปัญหานี้ไม่ใช่การสั่งของจาก “อาลีบาบา” แล้วได้ของไม่ครบตามที่ตกลงไว้ จึงเป็นปัญหา

6. การต่อต้านการแลกเรือแบบไม่เปิดช่องให้มีทางออก จะทำให้ประเด็นถอยกลับไปสู่ข้อถกเถียงเรื่องของเครื่องยนต์เรือ (เช่นในช่วงต้น และไม่มีทางออก) ไม่ใช่ข้อถกเถียงว่า ไทยควรมีเรือดำน้ำหรือไม่ การทำเช่นนี้คือ การเดินย้อนกลับไปสู่ทางตัน

7. การแลกกับเรือฟริเกตอาจจะไม่ตอบปัญหาโดยตรง เพราะปัญหาราคาที่สูงกว่าเรือดำน้ำ การจ่ายเพิ่มจะทำให้สังคมรับไม่ได้ และมีผลกระทบกับรัฐบาล เป็นเหมือนกับการที่รัฐบาลต้อง “จ่ายค่าโง่” เพิ่มจากปัญหาเดิม ที่คนในสังคมไทยมองว่า จีนเป็นฝ่ายผิดสัญญา และสำหรับไทย การแลกต้องไม่มีการ “จ่ายเพิ่ม”

8. การแลกเช่นนี้จะต้องไม่ใช่การจัดทำโครงการซ้อน ด้วยการทำโครงการจัดหาเรือรบใหม่ซ้อนเข้ามา เพราะจะยิ่งทำให้เกิดปัญหามากขึ้น และควรต้องยุติโครงการเดิมให้เกิดความชัดเจนในเรื่องการจัดงบประมาณ

9. เรือฟริเกตลำใหม่ต่อจากเกาหลีใต้แล้วในปี 2562 คือ “เรือหลวงภูมิพล” ควรต่อเป็น “เรือคู่แฝด” ไม่ควรเอาเรือฟริเกตลำใหม่จากจีนเข้ามา ควรดำเนินการตามแผนเดิมในการต่อลำที่ 2 (เรือหลวงนันทมหิดล) กับเกาหลีต่อไป (ปัญหาเดิมเกิดจากการโยกงบสำหรับเรือฟริเกตเกาหลีไปใช้ในการจัดซื้อเรือดำน้ำในปีดังกล่าว)

10. เรือคอร์เวตน่าจะเป็นคำตอบสำหรับการแก้ปัญหาการจัดหาเรือทดแทนเรือหลวงสุโขทัย และอาจแลกเป็นเรือคอร์เวตที่อาจมีขนาดใหญ่กว่าเดิม (เรือสุโขทัยมีระวางขับน้ำประมาณ 900 กว่าตัน เรือมงกุฎราชกุมารประมาณ 2000 ตัน)

และการซ่อมบำรุงหลังจากการกู้เรือให้กลับมามีสภาพใช้งานได้เหมือนเก่า อาจจะไม่คุ้มค่า และการสั่งต่อใหม่จากอู่เรือในสหรัฐ อาจทำไม่ได้ด้วยปัญหางบประมาณในปัจจุบัน (เรือชุดนี้สั่งต่อในปี 2526 และเข้าประจำการในปี 2529/2530)

11. กองทัพเรือ-กระทรวงกลาโหม ควรจะต้องตอบให้ชัดเจนว่า รัฐบาลไทยได้จ่ายค่าเรือดำน้ำไปแล้วเป็นจำนวนเท่าใด และได้จ่ายในส่วนอื่นใดไปแล้วบ้าง อีกทั้งหากเกิดการแลกจริง จะต้องมีความชัดเจนว่า เรือที่แลกมามีมูลค่าเท่าใด เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสังคมได้รับรู้

12. ความตกลงในการจัดซื้อ จัดหายุทโธปกรณ์เป็นการทำสัญญาระหว่างรัฐต่อรัฐ คือ รัฐเป็นคู่สัญญา และเป็นการดำเนินการโดยรัฐ ปัญหาที่เกิดขึ้นย่อมเป็นปัญหาของรัฐบาล 2 ฝ่าย การเจรจาเพื่อหาทางออกน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในความสัมพันธ์ของประเทศทั้งสอง

ประเด็นนี้ไม่ใช่ปัญหาที่ไทยจะต้องแตกหักกับจีนในมุมมองแบบกระแสชาตินิยม เช่นมีการสร้างความเชื่อว่า การยอมแลกเรือดำน้ำกับเรือรบบนผิวน้ำของจีน เป็นเหมือนการกระทำที่ “ไม่มีศักดิ์ศรี” ของรัฐบาลไทยที่ “ยอมจีน”

13. หากความตกลงเช่นนี้เกิดปัญหาขึ้น คณะรัฐมนตรีย่อมมีสิทธิ์ที่จะทำการเปลี่ยนแปลงได้ บนเหตุผล (1) การเปลี่ยนแปลงเป็นผลประโยชน์ต่อรัฐ (2) การเปลี่ยนดังกล่าวไม่ใช่การดำเนินการเพื่อผลประโยชน์ของบุคคล หรือกลุ่มบุคคล (3) การเปลี่ยนเช่นนี้มีเหตุผลชัดเจนที่สามารถอธิบายกับสังคมได้
 
ประเด็นการเมืองเพิ่มเติม
14. รัฐบาลจะต้องระมัดระวังว่า การแลกเรือจะไม่กลายเป็นปัญหาทางการเมืองภายในของไทย เพราะอาจมีบางกลุ่ม หรือบางคน ต่อต้านการแลกเรือแบบสุดโต่ง โดยเชื่อว่าการต่อต้านนี้ จะทำให้เกิดผลกระทบทางการเมืองกับรัฐบาลในฐานะ “ผู้แก้ปัญหา”

หรือสำหรับบางกลุ่ม การต่อต้านทางเลือกนี้จะบังคับให้กองทัพเรือและรัฐบาลไทยยังจำต้องอยู่กับโครงการเรือดำน้ำเดิม และเดินหน้าไปสู่การดำเนินการในเรื่องนี้ต่อไป

ทั้งหมดนี้เป็นการนำเสนอเพื่อ “ผ่าทางตัน” ให้ปัญหามีทางออก เพราะปัญหากำลังเดินมาถึงจุดสุดท้าย ที่รัฐบาลและกองทัพเรือไทยต้องตอบให้เกิดความชัดเจนแล้ว!

logoline