svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

เปิดเส้นทาง "เรือดำน้ำไทย" ดำผุดดำว่าย กว่า 30 ปี และยังไม่มีทีท่าโผล่ขึ้นมา

เปิดเส้นทาง "เรือดำน้ำไทย" ดำผุดดำว่าย กว่า 30 ปี และยังไม่มีทีท่าว่าจะโผล่ขึ้นมาได้ หรือเป็นเพียงเรือกระดาษในลิ้นชัก

25 ตุลาคม 2566 หลังจากหาทางออกในการเปลี่ยนเรือดำน้ำของจีน ที่จีนไม่สามารถจัดหาเครื่องยนต์เรือจากเยอรมันได้ จนพบแนวทางออกที่ทั้ง 2 ประเทศ เห็นว่าอาจจะเป็นไปได้ เมื่อนายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า กองทัพเรือ ได้เสนอทางออกมาให้รัฐมนตรีพิจารณา โดยให้เปลี่ยนเรือดำน้ำเป็นเรือฟริเกต ซึ่งทั้งรมว.กลาโหมและ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้หารือกับ นาย สี จิ้น ผิง ประธานาธิบดีจีน และนาย หลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าวขอไทย

เส้นทางดำผุดดำว่ายของ "เรือดำน้ำ"

เริ่มขึ้น ภายใต้รัฐบาล คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หลังกองทัพเรือใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องกว่า 30 ปี นับตั้งแต่ได้ปลดประจำการเรือดำน้ำ 4 ลำ ซึ่งประกอบด้วย เรือหลวงมัจฉาณุ เรือหลวงวิรุณ เรือหลวงสินสมุทร และเรือหลวงพลายชุมพล ไปในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำของราชนาวีไทยก็ไม่เคยได้รับการอนุมัติจัดซื้อจากรัฐบาลอีกเลย เพราะต้องใช้งบประมาณมหาศาล

กระทั่งใน ปี 2538 กองทัพเรือขอซื้อเรือดำน้ำรุ่น Kockums จำนวน 2 ลำ จากสวีเดน ด้วยงบประมาณสี่หมื่นล้านบาท โดยก่อหนี้ผูกพัน 7 ปี ต่อมาในปี 2553 กองทัพเรือได้เสนอขอจัดซื้อเรือดำน้ำใหม่ หรือมือสอง จำนวน 2-3 ลำ ด้วยวงเงินงบประมาณ 48,000 ล้านบาท และมาถึงสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กองทัพเรือก็ได้นำเสนอแผนจัดซื้อ เรือดำน้ำมือสองรุ่น U-206A จำนวน 6 ลำ จากเยอรมนี  ด้วยวงเงินงบประมาณ 7,700 ล้านบาท แต่ก็ไม่เคยถูกเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี กองทัพเรือจึงต้องหันไปให้ความสนใจและผลักดันโครงการจัดซื้อเรือฟริเกตสมรรถนะสูง จากประเทศเกาหลี จำนวน 1 ลำแทน ด้วยงบประมาณ 14,600 ล้านบาท

จนรัฐบาลคสช. โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2559 ได้อนุมัติจัดซื้อเรือดำน้ำรุ่น Yuan class S26T จำนวน 2 ลำ แถม 1 ลำ จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ด้วยวงเงินงบประมาณ 36,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยซื้อครั้งละ 1 ลำ ด้วยงบประมาณประจำปีแบบผูกพัน 

โดยขณะนั้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่าโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ ได้ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แล้ว และมีความจำเป็นที่จะมีเรือดำน้ำประจำการมากกว่า 1 ลำ โดยกล่าวถึงเหตุผลและความจำเป็นในการจัดซื้อครั้งนี้ว่า “เรือดำน้ำมีความจำเป็นเพราะประเทศเพื่อนบ้านมีกันหมดแล้ว อีกทั้งเมื่อซื้อต้องนำมาใช้งานได้ เพราะทรัพยากรทางทะเลของประเทศไทยมีมหาศาลโดยเฉพาะฝั่งอันดามัน ที่ไทยยังไม่เคยไปสำรวจ อีกทั้งจะมีประโยชน์มาก ในเรื่องการป้องกันอธิปไตย” นอกจากนั้น การขาดเรือดำน้ำประจำการมากกว่า 60 ปี ทำให้เกิดช่องโหว่  ในทางยุทธศาสตร์ทางทะเลและการดูแลพื้นที่ใต้น้ำจึง "จำเป็นต้องให้มีเรือดำน้ำในช่วงเวลานี้ เพราะรัฐบาลนี้ให้ความสำคัญ"

เรือดำน้ำไทย

ต่อมาช่วงปลายเดือนเมษายน 2560 คณะรัฐมนตรีได้มีการอนุมัติให้กองทัพเรือดำเนินการ จ้างสร้างเรือดำน้ำลำแรกรุ่น Yuan class S26T จำนวน 3 ลำ ซื้อ 2 แถม 1 ในวงเงินงบประมาณ 36,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2560 โดยไม่มีการแถลงหรือชี้แจงข้อมูลให้ประชาชนได้รับทราบแต่อย่างใด ซึ่งการอนุมัติจัดซื้อ เป็นการทำข้อตกลงแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) โดยในวันที่ 5 พฤษภาคม ปีพ.ศ. 2560 กองทัพเรือไทยได้ลงนามในสัญญาจัดซื้อเรือดำน้ำ S26T ระยะที่ 1 จำนวน 1 ลำ วงเงิน 13,500 ล้านบาท จากบริษัท China Shipbuilding & Offshore International Co., Ltd. (CSOC) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐประชาชนจีน

โดยงบประมาณที่จะใช้ในการจัดหาเรือดำน้ำ วงเงิน 13,500 ล้านบาท ครั้งนี้ จะแบ่งผ่อนชำระเป็นระยะเวลา 7 ปี รวมทั้งสิ้น 17 งวด สำหรับงวดแรกในปี 2560 ต้องชำระเงินจำนวน 700 ล้านบาท และระหว่างปี 2561-2566 ต้องชำระเงินเฉลี่ยปีละ 2,100 ล้านบาท โดยกองทัพเรือได้เจรจากับฝ่ายจีนเกี่ยวกับการชำระเงินในแต่ละปีงบประมาณ ให้สอดคล้องกับความเป็นไปได้ด้านงบประมาณของกองทัพเรือเรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้การพิจารณาข้อเสนอในการจัดซื้อเรือดำน้ำครั้งนี้ ได้เปรียบเทียบบริษัทผู้ผลิตเรือดำน้ำจากประเทศต่างๆ มีเพียงบริษัทของจีนเท่านั้น ที่มีเงื่อนไขครบตามความต้องการของกองทัพเรือ ไม่ว่าจะเป็นด้านขีดความสามารถและความพร้อมตามความต้องการ (ความสามารถด้านการซ่อนพราง ระบบอาวุธที่หลากหลายและรุนแรง และความปลอดภัย) ด้านความต่อเนื่องตลอดอายุการใช้งาน (การฝึกอบรมกำลังพล และการบำรุงรักษา) และด้านงบประมาณของกองทัพ ด้วยเหตุนี้ เรือดำน้ำดีเซล-ไฟฟ้ารุ่น Yuan S26T ที่มีอายุการใช้งานนานถึง 30 ปี จึงคุ้มค่าทั้งในแง่ราคาและประโยชน์ที่ได้รับมากที่สุด

ไทม์ไลน์ เรือดำน้ำลำแรกในรอบ 30 ปี ที่ไม่มีทีท่าว่าจะผุดขึ้นมา

  • 28 เม.ย. 2558 ครม.อนุมัติหลักการให้จัดหาเรือดำน้ำ 3 ลำ 
  • 18 เม.ย. 2560 ครม.อนุมัติจัดซื้อเรือดำน้ำ 3 ลำรวม 36,000 ล้านบาท ในเวลา 11 ปี จากนั้นมีการลงนามข้อตกลงจัดซื้อเรือดำน้ำ ลำที่ 1 แบบ G to G โดยมีสัญญาส่งมอบให้ไทยปี 2566
  • 7 ต.ค. 2562 กองทัพเรือของบประมาณ จัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2-3
  • พ.ค. 2563 รัฐบาลขอให้แต่ละหน่วยงานโอนงบประมาณปี 2563 ในส่วนที่ยังไม่จำเป็นเร่งด่วนคืน เพื่อแก้ปัญหาโควิด กองทัพเรือจึงได้คืนงบจัดซื้อเรือดำน้ำ
  • 17 ก.ค. 2564 กองทัพเรือเสนอจัดซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ ในปีงบประมาณ 2565 มูลค่ากว่า 2.2 หมื่นล้าน
  • 19 ก.ค. 2564 กระทรวงกลาโหม ได้แจ้งต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ขอถอนวาระการจัดซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ
  • 28 ก.พ. 2565 กองทัพเรือยอมรับ เรือดำน้ำของจีน ไม่มีเครื่องยนต์ดีเซลและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ที่เยอรมนีเป็นผู้ผลิต เนื่องจากเยอรมนีไม่ออกใบอนุญาตการขายให้กับทางจีน 
  • 9 ส.ค. 2565 กองทัพเรือ ขยายเวลาพิจารณาสเปกเครื่องยนต์จีน
  • 21 ต.ค. 2566 นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พิจารณาชะลอโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำและเปลี่ยนมาเป็นเรือฟริเกตกับประเทศจีน 

ไทม์ไลน์ เรือดำน้ำ

ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก

เฟซบุ๊ก Militaly Weapons อาวุธยุทโธปกรณ์ทางการทหาร 

เฟซบุ๊ก เรือดำน้ำไทย