
โดย ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงคำแถลงนโยบายของรัฐบาล “เศรษฐา 1” ว่าหากมองในภาพรวม ยังพบว่ามีความลักลั่นอยู่ เพราะบางเรื่องเป็นรายละเอียดที่สะท้อนนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทย แต่ในอีกด้านหนึ่งจะพบว่ายังไม่ค่อยมีนโยบายที่เป็นสาระของพรรคร่วมอื่นๆเท่าใดนัก และยังไม่เห็นการบูรณาการนโยบายของพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อนำมาเป็นข้อตกลงร่วมกัน ซึ่งอาจเป็นเพราะยังไม่มีเวลาตกลง เช่น เรื่อง “กัญชา” จะให้เป็นการรักษาหรือเป็นสันทนาการ
ส่วนการที่ไม่มีบางนโยบายบรรจุอยู่ในคำแถลง เช่น ค่ารถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย มองว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะการเขียนคำแถลง ไม่จำเป็นต้องระบุในรายละเอียด และในคำแถลงมีการพูดถึงอยู่แล้วว่า นโยบายเรื่องการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน ให้ประชาชนเข้าถึงง่าย มีประสิทธิภาพ จึงไม่อยากให้มองคำแถลงแบบจับผิด แต่ควรมองที่แก่นหลักนโยบายภาพรวม ว่ามีเจตนาตรงตามที่เคยหาเสียงไว้หรือไม่
โดยในส่วนของ 5 นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล คือ นโยบายเรื่อง ดิจิทัล วอลเล็ต , การแก้ปัญหาพลังงาน , พักชำระหนี้เกษตรกร , กระตุ้นการท่องเที่ยว และประเด็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ หากดูในภาพรวม จะเห็นได้ว่า เน้นปัญหาปากท้องและกระตุ้นเศรษฐกิจ และประเด็นของความขัดแย้งในสังคม ถือว่าพรรคเพื่อไทยตีโจทย์แตก เพราะสังคมตอนนี้มีความเหลื่อมล้ำสูง แต่ก็ถือเป็นเรื่องท้าทายของพรรคเพื่อไทย ว่าจะสามารถทำได้สำเร็จหรือไม่
โดยเฉพาะนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต ที่เป็นนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทย เชื่อว่าพรรคจะต้องผลักดันนโยบายนี้อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู แต่ก็เห็นปัญหา ว่ารูปแบบและรายละเอียดยังไม่ชัดเจน
เช่นเดียวกับเรื่องของพลังงาน ที่นายเศรษฐา ซึ่งเป็นคนที่มีประสบการณ์สูงในแวดวงธุรกิจ หากสามารถไปเจรจาได้ จะเรียกความเชื่อมั่น ศรัทธามาในระบบเศรษฐกิจ
แต่ทั้งนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด และน่าจะเป็นอุปสรรคของรัฐบาล คืองบประมาณ ที่จะนำมาใช้ เพราะรัฐบาลชุดนี้จัดตั้งขึ้นมาช้า งบประมาณ ปี 2567 ไม่สามารถนำมาใช้ได้ทันเดือนกันยายนตามที่กำหนดไว้ ทำให้อาจต้องดึงงบประมาณจากส่วนอื่นมาใช้ก่อน ซึ่งก็อาจจะส่งผลกระทบข้างเคียง
"ถ้าเกิดดูในแง่นี้ ตีโจทย์ได้ถูก เพียงแต่ว่าคำถามใหญ่จะเอางบจากไหนมาใส่ในระบบเศรษฐกิจ เพื่อให้เครื่องจักรเศรษฐกิจเดินหน้าและสร้างเงินหมุนเวียน เป็นตัวคูณที่จะทวีกลับมา โจทย์ตรงนี้เป็นสิ่งที่ยังมองไม่เห็นภาพชัดเจนนัก"
อย่างไรก็ตาม ศ.ดร.สิริพรรณ ยังมองว่าสิ่งที่รัฐบาลควรจะต้องคำนึงถึงอีกเรื่องหนึ่งนอกจากเรื่องของนโยบาย คือ ความเชื่อมั่นของประชาชน ต่อการทำงานของคณะรัฐมนตรีที่เข้าไปดูแลกระทรวงต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาลหลายคน ที่ประชาชนรู้สึกไม่เชื่อมั่น
แต่การที่นายเศรษฐา คุมกระทรวงการคลังเอง ถือเป็นข้อดีและจุดแข็ง เพราะจะทำให้สามารถเข้าไปดูแลกำกับควบคุมงบประมาณของกระทรวงต่างๆได้ หากทำงานไม่เข้าตา ก็อาจจะได้เห็นการปรับ ครม. เร็วขึ้น
ซึ่งหลายคนหวังว่า ในอนาคตหากมีการปรับ ครม. จะได้เห็นเจ้ากระทรวงที่มีประสบการณ์และความพร้อม ตรงกับงานที่รับผิดชอบ ซึ่งจะทำให้ศักดิ์ศรีและความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลดีขึ้นมากกว่าครั้งนี้