
หลังตำรวจขยายผลพบ เจ้าของและผู้ครอบครองปืน คือ “ตำรวจ” ซึ่งทำหน้าที่เป็นพลขับให้กับผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม เพิ่งจะดำเนินการขอ “ใบ ป.3” หรือ ใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืนและเครื่องกระสุน
โดยส่งหลักฐานทำเรื่องขอจากโครงการสวัสดิการของตำรวจ ทางฝ่ายปกครองจึงออกให้ไป โดยมีการทำเรื่องเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมานี้เอง
"ดร.สติธร" ชี้ "เคสกำนันนก" ไม่หมู มีอำนาจต่อรองเทียบเคียงระดับบ้านใหญ่
ส่วนกรณีที่อาวุธปืนกระบอกนี้ไปอยู่ในมือของ “หน่อง ท่าผา” ถือว่าเป็นความผิดปกติ และผิดระเบียบอย่างแน่นอน เนื่องจากปืนสวัสดิการไม่สามารถโอนได้ภาใน 5 ปี เข้าใจว่าเมื่อตำรวจได้ปืนสวัสดิการมาแล้ว ก็ไปขายต่อทันที โดยเซ็นสลักหลังกันเอง แต่ไม่ได้โอนชื่อ
ฉะนั้นตำรวจที่มีชื่อเป็นเจ้าของอื่นย่อมมีความผิด เพราะเอกสารทางราชการที่มีอยู่ในขณะนี้ ยังเป็นเพียง “ใบ ป.3” ยังไม่มี “ใบ ป.4” หรือเอกสารอนุญาตให้มี และใช้อาวุธปืนด้วยซ้ำ
สำหรับหลักเกณฑ์การซื้อ ครอบครอง และโอนปืนสวัสดิการของตำรวจนั้น แต่เดิมในอดีต ปืนโครงการสวัสดิการราคาจะถูกว่าท้องตลาดประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ โดยกรมปกครองจะสลักหลังเอาไว้ ห้ามโอนภายในระยะเวลา 5 ปี
แค่ปืนโครงการใหญ่ ๆ เปิดจองคราวละมาก ๆ ในยุค คสช. โดยเป็นยุคของ ผบ.ตร. 2 คน คือ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ปรากฏว่า ราคาปืนลดต่ำลงมา เหลือเพียง 30 เปอร์เซ็นต์จากราคาท้องตลาด เพราะคณะรัฐมนตรีอนุมัติยกเว้นภาษีนำเข้าเป็นกรณีพิเศษ ทำให้ตำรวจจองซื้อขายเก็งกำไรกันมาก หวังนำไปขายต่อหลังครบเวลา 5 ปี
กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เล็งเห็นปัญหา จึงแก้ไขด้วยการสลักหลัง "ห้ามโอน ยกเว้นเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาท” ทำให้ยอดการจองซื้อลดลงกว่าครึ่ง แต่หลังจากนั้นมีการวิ่งเต้นให้มหาดไทย ลดเงื่อนไข ให้โอนขายได้เมื่อครบระยะเวลา 5 ปี