สิ่งที่สังคมสนใจ ณ เวลานี้ ไม่ใช่แค่ “โจทย์ยาก” ว่า รมว.กลาโหม พลเรือนแท้ๆ คนแรกอย่าง "สุทิน คลังแสง" ต้องเจออะไร แต่สิ่งที่สังคมอยากรู้จริงๆ ก็คือ "สุทิน"และ"รัฐบาลเพื่อไทย"จะทำอะไรบ้าง และจะทำได้แค่ไหน อย่างไร มากกว่า
ไม่ว่า"พรรคเพื่อไทย"หาเสียงเอาไว้อย่างไร ไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะประชาชนจำนวนไม่น้อยอยากได้สิ่งที่ "ตรงและแรง" ตามนโยบายหาเสียงที่พรรคก้าวไกลประกาศ และเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ชนะเลือกตั้งเข้ามา
ฉะนั้นแม้ที่ผ่านมา "เพื่อไทย"จะไม่ได้ประกาศนโยบายสุดโต่งแบบก้าวไกล แต่ก็ต้องรับแรงกดดันนั้นมาด้วย และต้องทำให้ได้
1.ปฏิรูปกองทัพ - หลักๆ คือ ลดจำนวนนายพล / ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร
2.ลดงบประมาณ การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ นำเม็ดเงินไปใช้อย่างอื่นที่จำเป็นกว่า
3.ยุบเลิกหรือปรับภารกิจหน่วยงานความมั่นคงบางหน่วยงาน โดยเฉพาะ กอ.รมน. ในภารกิจดับไฟใต้
4.จัดโครงสร้างองค์กรกลาโหมใหม่ ในแนว “จิ๋วแต่แจ๋ว” ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยงานด้านความมั่นคงและการรบมากยิ่งขึ้น
และเผือกร้อนล่าสุดชิ้นแรก คือ การเปลี่ยนเครื่องยนต์เรือดำน้ำจีน ชั้นหยวนคลาส รหัส S26T ซึ่งต่อใกล้เสร็จลำแรกใกล้ส่งมอบแล้ว แต่เยอรมนีไม่อนุมัติขายเครื่องยนต์ให้ ทำให้ต้องใช้เครื่องยนต์ดีเซลของจีน ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้สำหรับ “เรือผิวน้ำ” แต่จะปรับมาใช้กับ “เรือดำน้ำ” เป็นหนูทดลอง 2 ประเทศแรกของโลก คือ ปากีสถาน กับไทย / คำถามคือ รมว.กลาโหม ที่ชื่อ “บิ๊กทิน” สุทิน คลังแสง จะยอมหรือไม่
ใครที่บอกว่า "บิ๊กทิน - สุทิน คลังแสง" ไม่พร้อม คงต้องคิดใหม่ เพราะแม้เจ้าตัวจะไม่มีประสบการณ์มากนักเกี่ยวกับงานด้านการทหารแะความมั่นคง แต่มีที่ปรึกษาและทีมงานที่ดี โดยเฉพาะ 3 ทหารเสือที่วางตัวไว้ คือ
"พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก" อดีตปลัดกลาโหม - ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงกลาโหม
"พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์" อดีตเลขาฯ สมช. อดีตรอง ผบ.ทบ. - คาดว่าเป็นเลขานุกการ รมว.กลาโหม
"พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี" สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย สส.อดีตบิ๊กทหารหนึ่งเดียวของเพื่อไทย และอดีตแม่ทัพภาค 4 - ที่ปรึกษา รมว.กลาโหม
แกนหลักที่เป็น "มือทำงาน" คือ "พล.อ.นิพัทธ์" หรือ ”บิ๊กแป๊ะ” ซึ่งเราเล่าประวัติแบบละเอียดให้ฟังหลายครั้งแล้ว
และล่าสุด"เนชั่นทีวี" ได้ “พิมพ์เขียวนโยบายกลาโหม” ที่ รมว.สุทิน จะนำไปแถลงต่อสภา และใช้ในการขับเคลื่อนงานของกองทัพให้เป็นไปตามความคาดหวังของประชาชน
1.นโยบายที่ประกาศ จะเป็น "นโยบายของรัฐบาล" ไม่ใช่ของพรรคเพื่อไทย ซึ่งทุกพรรคมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนและทำให้บรรลุผล
2.แนวทาง - ใช้คำว่า "ปรับโครงสร้างกองทัพ"
**เป็นคำสุภาพ ไม่ให้ความรู้สึกในแนว "คุกคามกองทัพ" มากจนเกินไป
**การจะผลักดันเรื่องยากๆ ให้สำเร็จ ต้องอาศัยความร่วมมือและความเข้าใจ ไม่ใช่หักด้ามพร้าด้วยเข่า
3.นโยบาย "ปรับโครงสร้างกองทัพ" ประกอบด้วย 4 ด้าน
-เรื่องคน หรือจำนวนกำลังพล ซึ่งรวมถึงจำนวนนายพลที่ถูกมองว่ามากจนเกินไป หรือมากที่สุดในโลกด้วย
-เรื่องเม็ดเงิน หรืองบประมาณ
-เรื่องอาวุธยุทโปกรณ์
-เรื่องการบริหารงานในกองทัพ
ทั้ง 4 เรื่องนี้จะทำควบคู่กัน มีแผนงานชัดเจน เร็วๆ นี้จะมีการ "ตั้งคณะทำงาน" ไม่ใช่เพื่อศึกษา แต่เพื่อสรุปเป็นแผนปฏิบัติ และทำทันที เพราะไม่มีเวลาต้องมาศึกษากันอีกแล้ว เนื่องจากได้ศึกษามามาก และรู้ปัญหามานานแล้ว
4.หลักการในการดำเนินนโยบาย คือ "ขอทำงานร่วมกันกับกองทัพ" เพราะ
-ทราบดีว่ากองทัพก็พยายามปรับโครงสร้างภายในมาตลอด
-กองทัพก็เห็นด้วยว่าต้องมีการปรับโครงสร้างของตนเอง
-มีการประชุมหารือเบื้องต้นอย่างไม่เป็นทางการแล้ว คือ วงหารือเมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 ก.ย. ที่มีนายกฯเศรษฐาเข้าด้วย
5.การดำเนินนโยบายต้องกระชับ รวดเร็ว และเห็นผลเชิงปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมจริงๆ ในเวลาที่เหมาะสม
4 ภารกิจ "สายล่อฟ้า" ผ่าโครงสร้างกองทัพ
รูปธรรมที่หากทำได้ จะสร้างกระแสตอบรับอย่างมากกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ก็คือ ลดจำนวนนายพล / ยกเลิกเกณฑ์ทหาร / ลดงบซื้ออาวุธ / และปรับโครงสร้าง หรือปรับภารกิจหน่วยงานความมั่นคงที่เป็นกลไกสำคัญของกองทัพอย่าง กอ.รมน.
มาดูสิ่งที่ “รัฐบาลเพื่อไทย” และ “บิ๊กทิน - สุทิน คลังแสง” เตรียมแผนดำเนินการ
ลดจำนวนนายพล
“เนชั่นทีวี” เคยเปิดข้อมูล “จำนวนนายพลเมืองไทย” ซึ่งเป็นข้อมูล exclusive แม้แต่คนในกองทัพเอง น้อยคนนักที่จะทราบ และตัวเลขนี้แทบไม่เคยเปิดเผยที่ไหน รู้กันแต่ว่านายพลเมืองไทยมีเยอะ อาจจะเยอะที่สุดในโลก
ข้อมูลที่เคยนำมาเปิดเอาไว้ เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.66 / ตัวเลข "นายพล" ทุกเหล่าทัพ ก่อนปรับย้ายนายทหารปีนี้ อยู่ที่ 1,514 นาย
แผนของกองทัพ เป็นแผน 20 ปี คือ ปี 2551-2571 ลดนายพลปฏิบัติการ เป้าหมายลดลง 50% จากเดิม 2,696 นาย เหลือ 1,349 นาย
จะเห็นได้ว่าตัวเลขนายพลปัจจุบันขยับใกล้เป้าหมาย
คณะทำงานของ "บิ๊กทิน" นำตัวเลข ข้อมูล สถิติ และกราฟต่างๆ มาดูกันแล้ว พบปัจจัยที่เป็นต้นตอของปัญหา "นายพลล้น" คือ
1.บางช่วงเวลา ผลิตนักเรียนนายร้อยออกมาจำนวนมาก เพื่อรับมือกับสถานการณ์ด้านความมั่นคง โดยเฉพาะภัยสงครามจากภายนอก สงครามตามแนวชายแดน และสงครามในประเทศเพื่อนบ้าน หรือในภูมิภาค
**ผลิตนักเรียนนายร้อยมากขึ้นทั้ง 3 เหล่า และ ทบ.มากที่สุด
**ทหารกลุ่มนี้จะทยอยเกษียณในช่วงนี้ถึงปี 2570
**ตั้งแต่ปี 2570-2572 จะเริ่มเห็นผล นายพลลดจำนวนลงอย่างมีนัยสำคัญ
2.การเปิดหน่วยใหม่ และเปิดอ้ตราใหม่เพื่อรองรับหน่วยที่ตั้งใหม่ รวมถึงเปิดอัตราตอบแทนกำลังพลบางส่วนก่อนเกษียณอายุราชการ
**ส่วนนี้ต้องตีกรอบ วางมาตรการ หรือกฎเหล็กใหม่ให้ชัดเจน
ยกเลิกเกณฑ์ทหาร
-ใช้วิธีลดเพดานกำลังพลจากทหารเกณฑ์ที่ต้องการใช้ในแต่ละปีลง เช่น ปัจจุบันอยู่ที่ 90,000 นาย อาจจะเจรจาให้ลดเหลือ 60,000 นาย เป็นเป้าหมายใหม่
-เปิดรับสมัครก่อน (เดิมเกณฑ์ไปสมัครไป)
**ก่อนเปิดรับสมัคร ให้มีมาตรการจูงใจเรื่องเงินเดือนและสวัสดิการ ลดการหักค่าประกอบเลี้ยง เพื่อให้ได้เงินเดือนเต็มเม็ดเต็มหน่วย
**จากนั้นจึงเปิดรับสมัคร คาดว่ายอดการสมัครจะมากขึ้น
**ได้เท่าไหร่ ถ้าไม่ครบ ค่อยเกณฑ์ในส่วนที่เหลือ
-ถ้าทำได้จะเป็นความสำเร็จ "ก้าวแรก"
-ไม่สมควรยกเลิก พ.ร.บ.รับราชการทหาร พ.ศ.2497 (กฎหมายเกณฑ์ทหาร) เพราะประเทศมีความจำเป็นต้องใช้
**ส่วนนี้ส่วนทางกับนโยบายพรรคก้าวไกลที่จะแก้ไขแบบรื้อใหญ่ หรือยกเลิก พ.ร.บ.รับราชการทหารฯ
ลดงบซื้ออาวุธ
-นโยบายของรัฐบาลเพื่อไทย จะไม่มุ่งไปที่การตัดงบซื้ออาวุธทั้งหมด แต่จะให้เสนอแผน "ตามความจำเป็น"
-ซื้ออาวุธได้ แต่ต้องใช้วิธี "บาร์เตอร์" ควบคู่กันไป เช่น ซื้อยุทโธปกรณ์จากประเทศผู้ผลิต/ผู้ขาย ก็ต้องเจรจาให้รัฐบาลของประเทศนั้นซื้อผลิตผลทางการเกษตร หรือซื้อสินค้าจากไทยในราคาใกล้เคียงกัน
**แนวทางนี้ "นายกฯเศรษฐา" เห็นด้วย และในวันพบปะหารือกับผู้นำเหล่าทัพ (วันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน) จึงเชิญ "ปานปรีย์ พหิทธานุกร" รองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ ไปร่วมพูดคุยด้วย เพื่อใช้กลไกของกระทรวงการต่างประเทศ ทำเรื่องนี้
**ส่วนเรื่องเครื่องยนต์เรือดำน้ำจีน มีทางออกแล้ว เป็นทางออกที่ "บิ๊กทิน" ยังไม่ยอมเผย (แต่ทางเนชั่นทีวีได้รับข้อมูลมาแล้ว จะมารายงานให้ทราบต่อไป)
ปรับโครงสร้าง/ภารกิจ กอ.รมน.
-ดำเนินการแน่ และคนในกองทัพก็เห็นด้วย
-กอ.รมน.กลายเป็น "หน่วยงานไขมัน" ของกองทัพ ใหญ่โตรุงรัง และทำให้กำลังพลในกองทัพบางส่วน "สวมหมวก 2 ใบ" เช่น แม่ทัพ เป็น ผอ.รมน.ภาค 1-4 ในเวลาเดียวกันด้วย
-กำลังพลใน กอ.รมน.บางส่วน ข้ามฟากไปปฏิบัติหน้าที่ใน กอ.รมน. เพราะไม่มีเส้นทางเติบโต หรือไม่มีตำแหน่งในกองทัพ แต่ใน กอ.รมน.ก็เป็นงานในลักษณะ "ช่วยราชการ" หรือ "ช่วยปฏิบัติตามภารกิจ" ไม่ได้มีอำนาจหน้าที่จริงตามกฎหมาย จึงกลายเป็นช่องทางการเติบโต หรือไปฝากแปะตำแหน่งเอาไว้ เพื่อรอขยับในปีถัดไป
เรื่องนี้อ่อนไหว การแก้ไขปัญหาจะไม่ทำแบบเฉพาะเจาะจง แต่จะทำในภาพรวม
นี่คือ "พิมพ์เขียวปรับโครงสร้างกองทัพ" ฉบับรัฐบาลเพื่อไทยที่สะท้อนว่า
-รู้ปัญหาพอสมควร
-เลือกใช้วิธีประนีประนอม ค่อยเป็นค่อยไป ไม่หักด้ามพร้าด้วยเข่า
-ไม่พยายามเปิดฉากเป็นศัตรู หรือทะเลาะกับกองทัพ
-ไม่แสดงท่าทีด้อยค่ากองทัพ
อาจเป็นเพราะเพื่อไทยมีประสบการณ์ เคยโดนรัฐประหารมา 2 ครั้ง
อาจไม่สะใจกองเชียร์ หรือแฟนคลับเพื่อไทยที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงแบบรวดเร็ว รุนแรง เห็นผลทันตา
งานนี้จะออกแนวเกี้ยเซี้ย มวยล้มต้มคนดู หรือจะเป็นการเดินทางสายกลาง แล้วกองทัพปรับเปลี่ยนได้จริงๆ ด้วยฝีมือของทีมงานมืออาชีพ ต้องรอดูกันต่อไป!!