18 สิงหาคม ที่รัฐสภา นายสุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการประชุมของคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา (วิปวุฒิสภา) และตัวแทนพรรคการเมือง มีข้อตกลงว่าแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่เสนอต่อรัฐสภาไม่ต้องแสดงวิสัยทัศน์ว่า พิจารณาตามข้อบังคับและรัฐธรรมนูญแล้ว ไม่ได้บังคับ อีกทั้งเจตนารมณ์ของการเขียนข้อบังคับ ต้องการให้เคารพกระบวนการเลือกตั้ง การวินิจฉัยของประชาชน
ทั้งนี้ในการประชุมประเมินว่าอาจมีผู้ติดใจ จึงเปิดให้มีการอภิปราย รวม 5 ชั่วโมง แบ่งเป็น สว. 2 ชั่วโมง สส. 3 ชั่วโมง โดยจำนวนดังกล่าวจะเป็นของพรรคก้าวไกล 30 นาที ซึ่งทราบว่าพรรคก้าวไกลจะใช้เพื่อแสดงจุดยืนทางการเมือง
“ในประเด็นที่มีข้อติดใจ พรรคเพื่อไทยเตรียมกระบวนการชี้แจง แถลงข้อกล่าวหาต่างๆ และแสดงวิสัยทัศน์ของผู้ที่จะเสนอชื่อให้โหวตเป็นนายกฯ ในรัฐสภา เท่าที่พอจะทำได้ภายนอก ก่อนถึงวันโหวตนายกฯ แต่หากในการประชุมรัฐสภา มีการตั้งคำถามหรือซักถาม เป็นหน้าที่ของสส.พรรคเพื่อไทยที่จะรับผิดชอบ” นายสุทิน กล่าว
ส่วนประเด็นที่จะถูกอภิปรายกังวลหรือไม่ว่า จะไปไกลถึงเรื่องส่วนตัว นายสุทิน กล่าวว่า อาจจะมีได้ แต่เชื่อว่าประธานในที่ประชุมคงวางกรอบไว้ หากเกินเลยไปจริงๆ จะให้ สส.ชี้แจงแทน ส่วนประเด็นเรื่องคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามนั้น ตนมองว่า ที่ผ่านมาถูกคัดกรองในหลายระดับ ทั้งพรรคการเมือง และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดังนั้นประเด็นคุณสมบัติไม่มีอะไรที่น่าติดใจ
สำหรับกรณีที่พรรคเพื่อไทยข้ามขั้วจับมือกับพรรครวมไทยสร้างชาติ นายสุทิน กล่าวว่า ประเด็นดังกล่าว พรรคเพื่อไทยชี้แจงได้ เหตุที่ต้องไปรวมเพราะมีเหตุผล และมีคนที่เป็นต้นเหตุให้ไปรวม ซึ่งเป็นประเด็นบีบบังคับให้เราต้องไปรวม ทั้งนี้เจตนารมณ์ของประชาชนต้องการให้จัดตั้งรัฐบาลให้ได้ แต่เมื่อขั้วเราบางพรรค เขาไม่ยอมรับ ทำให้เสียงไม่พอ ดังนั้นเพื่อให้การตั้งรัฐบาลได้ตามเจตนารมณ์ของประชาชน จึงเป็นความจำเป็น
ส่วนหลังจากที่จับมือกับพรรครวมไทยสร้างชาติ สังคมทวงถามถึงการลาออกของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายสุทิน กล่าวว่า เป็นธรรมชาติของสังคม ทั้งนี้ยอมรับว่าการพูดของนพ.ชลน่านนั้น เป็นการแสดงจุดยืนจริง แต่เมื่อผลการเลือกตั้งผิดความคาดหมาย และเพื่อให้ตั้งรัฐบาลบนเจตนารมณ์ของประชาชนเป็นไปได้ จึงมีความจำเป็นต้องไปรวม
“ตามเจตนารมณ์ของประชาชน ไม่มีอะไรที่ได้ทุกอย่าง หรือ เสียทุกอย่าง ส่วนจะต้องรับผิดชอบคำพูดหรือไม่ หรือจะลาออกหรือไม่ต้องถามนพ.ชลน่าน อย่างไรก็ดีผมมองว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เทคนิคการหาเสียง แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป บริบทความเป็นจริงเปลี่ยนแปลงไป จึงเป็นความจำเป็นที่ต้องทำไม่เหมือนสิ่งที่พูดไป และผมยืนยันว่าเป็นความจำเป็นในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป” นายสุทิน กล่าว