svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"เรืองไกร"ขู่"ส.ส.-ส.ว."โหวต"พิธา"นั่งนายกฯ ยื่นป.ป.ช.สอบแน่

"เรืองไกร" เบรกรัฐสภาชงชื่อ "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" โหวตนายกฯ รอบ 2 ชี้ถูกตีตกไปแล้ว เนื่องจากมีคุณสมบัติขัดรัฐธรรมนูญ ขู่ยืนป.ป.ช.สอบ ส.ว.-ส.ส. ที่ลงมติเห็นด้วยครั้งต่อไป

17 กรกฎาคม 2566 "นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ" สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ได้ยื่นหนังสือถึงประธานรัฐสภา เพื่อพิจารณายับยั้งการเสนอชื่อ "นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์" หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 2 ในการประชุมรัฐสภา วันที่ 19 ก.ค.นี้ เนื่องจากนายพิธา ไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ให้ดำรงตำแหน่งนายกฯ หรือถูกตีตกไปแล้ว

ทั้งนี้ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ก็ยังจะให้โอกาสนายพิธา เป็นครั้งที่ 2 จึงเห็นว่า อาจจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับการประชุมรัฐสภา เพราะฝ่ายกฎหมายของรัฐสภา อยู่ระหว่างการศึกษาว่า ญัตติที่ถูกรัฐสภาตีตกไปแล้ว รัฐสภาจะสามารถพิจารณาใหม่ในสมัยประชุมเดิม เว้นแต่ประธานรัฐสภาจะอนุญาต ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อ 41 ได้หรือไม่ 

อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเสนอว่าจะต้องไปพิจารณาข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อที่ 36 ประกอบ 136 เพื่อให้เกิดความชัดเจน ว่าการพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลเป็นนายกฯ ส.ส.จะต้องเสนอรายชื่อบุคคล ที่มีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ

นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า แต่กรณีของนายพิธานั้น ได้ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้าม จากการถือครองหุ้นสื่อแล้ว ดังนั้น จึงไม่ควรเสนอชื่อนายพิธา ตั้งแต่การประชุมรัฐสภาครั้งแรก เมื่อ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา

"ในการประชุมวันที่ 19 ก.ค.นี้ ขอให้ ส.ส. และ ส.ว. ระมัดระวังในการลงมติด้วย เพราะตามรัฐธรรมนูญมาตรา 89 ระบุไว้ว่า การเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี จะต้องมีคุณสมบัติถูกต้อง แต่หากนายพิธา ที่มีตำหนิแล้ว รัฐธรรมนูญให้ถือว่าไม่มีการเสนอชื่อบุคคลนั้น ซึ่งหากกระบวนการรัฐสภา ยังจะรอคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ก็อาจจะมีผลกระทบต่อการนำชื่อผู้ขาดคุณสมบัติขึ้นทูลเกล้าฯ ได้" นายเรืองไกร ระบุ 

ส่วนประธานรัฐสภา จะสามารถใช้อำนาจชี้ขาดให้ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล เสนอชื่อนายพิธาซ้ำอีกครั้งได้หรือไม่นั้น โดยตามคำร้องที่ตนยื่นยับยั้งนั้น ประธานรัฐสภา ไม่สามารถใช้อำนาจได้ พร้อมขอให้ประธานรัฐสภา ฟังความเห็นทางกฎหมายจาก "นายพรเพชร วิชิชลชัย" ประธานวุฒิสภา ในฐานะรองประธานรัฐสภา หรือฝ่ายกฎหมายของรัฐสภาเป็นหลักด้วย เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญทางกฎหมายมากกว่า 

ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้ ตนได้นำรายชื่อ ส.ส. และ ส.ว.ที่ลงมติสนับสนุนนายพิธา เป็นนายกฯ เมื่อวันที่ 13 ก.ค. ที่ผ่านมา ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบแล้ว ซึ่งหากในวันที่ 19 ก.ค.นี้ ส.ส. และ ส.ว. คนใด จะยังลงมติสนับสนุน ตนก็จะยื่นรายชื่อเพิ่มเติมให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบการทำหน้าที่ต่อไป 

นอกจากนี้ ยังยืนยันด้วยว่า หลังการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของนายพิธา กรณีการเข้าดำรงตำแหน่ง ส.ส. เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2562 ของ ป.ป.ช. ตนเองก็จะไปรวบรวมข้อมูล เพื่อเปรียบเทียบกับการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน เมื่อครั้งเข้าดำรงตำแหน่ง ส.ส. ครั้งแรก และพ้นจากตำแหน่ง ส.ส. เมื่อการยุบสภาที่ผ่านมา เพื่อตรวจสอบต่อไปด้วย 

ส่วนกรณีที่มีการเรียกร้องให้ตนตรวจสอบการถือครองทรัพย์สินของ "นายชาดา ไทยเศรษฐ์" ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ที่พบเคยถือครองหุ้นบริษัทแห่งหนึ่ง ที่มีชื่อกิจการคล้ายกับการประกอบธุรกิจสื่อมวลชนนั้น ยืนยันว่าได้ไปตรวจสอบการประกอบธุรกิจดังกล่าวของนายชาดาแล้ว แต่ไม่พบข้อมูลในกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จึงยังไม่สามารถตรวจสอบได้ พบเพียงบริษัทที่มีชื่อใกล้เคียงกัน ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงยังไม่เพียงพอ และต้องรอรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม และย้ำว่า จะติดตามตรวจสอบเรื่องดังกล่าวต่อ และการจะตรวจสอบใด ๆ นั้น จะตองพิจารณาถึงข้อเท็จจริง มีที่มาที่ไป 

สำหรับกรณีที่มีมวลชนกดดันกดให้สมาชิกวุฒิสภาที่ลงมติงดออกเสียง ให้กับนายพิธา รวมไปถึงผู้บัญชาการเหล่าทัพ ที่ไม่ได้เดินทางไปร่วมประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติ ให้ลาออกจากตำแหน่งนั้น ซึ่งการลงมติงดออกเสียงของสมาชิกวุฒิสภา เป็นไปตามเอกสิทธิที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ จึงขอให้มวลชนที่เรียกร้อง ไปศึกษาหาอ่านกฎหมายด้วย ไม่ใช่เพียงแสดงความคิดเห็นกล่าวหาผู้อื่นเท่านั้น เพราะอาจจะมีความผิดทางอาญา