
14 กรกฎาคม 2566 ที่อาคารรัฐสภา พรรคก้าวไกล นำโดย นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรค, นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค พร้อมด้วยส.ส.ของพรรคก้าวไกล ยื่นหนังสือต่อ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประเด็นการแก้ไขกฎหมาย โดยยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยยกเลิกมาตรา 272 ในบทเฉพาะกาล ที่ให้อำนาจวุฒิสมาชิก มีส่วนร่วมในการเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราว หรือเรียกว่าเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อคืนอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีให้กับประชาชนหรือ ปิดสวิตช์ส.ว.
ด้านนายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า จะให้เจ้าหน้าที่สภาได้ตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วน ของรายชื่อ และเอกสารนี้ เพื่อบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระต่อไป ส่วนวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในครั้งถัดไป ได้ออกหนังสือเชิญสมาชิกสภารัฐสภามาประชุมในวันที่ 19 กรกฎาคมแล้ว
นายชัยธวัช กล่าวถึงการ ยืนแก้กฎหมายดังกล่าวว่า เนื่องจากการประชุมรัฐสภาเมื่อ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา ปรากฏชัดว่ามี ส.ว.จำนวนมากได้งดออกเสียง 159 คน และไม่มาประชุมอีก 43 คน ซึ่งหลายคนได้แสดงออกชัดเจนว่า ตนเองไม่ประสงค์ที่จะใช้สิทธิ์ ใช้อำนาจทำหน้าที่เลือกนายกรัฐมนตรี และเป็นเรื่องของส.ส.
ดังนั้นเมื่อส.ว.จำนวนมากประสงค์เช่นนั้น ไม่ใช้สิทธิ์ของตนเองโดยการงดออกเสียง ก็จะนำไปสู่ทางตันทางการเมือง พรรคก้าวไกลจึงเสนอทางออกให้กับสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งเชื่อว่าทางนี้จะเป็นทางออกที่ตอบโจทย์ของทั้งสมาชิกวุฒิสภาและตอบโจทย์ ในระบบรัฐสภาของไทย และเพื่อทำให้การเมืองไทยเดินหน้าไปได้ เพื่อที่จะได้รัฐบาลชุดใหม่โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทั้งนี้ เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เป็นคนละส่วนกับการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งทั้งสองส่วนสามารถดำเนินการคู่ขนานไปได้ แต่ก็ไม่ทราบว่าการเลือกนายกรัฐมนตรีจะดำเนินการไปอีกกี่ครั้ง ดังนั้นก็พยายามหาทุกช่องทางที่จะทำให้สามารถมีข้อยุติ เรื่องการเลือกนายกรัฐมนตรีได้ และพรรคก้าวไกลรวมถึงอีก 7 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลก็คงจะทำหน้าที่พยายามที่จะขอเสียง จากส.ว. เพิ่มมากขึ้นด้วย
ส่วนการยื่นร่างแก้ไขมาตรา 272 ในวันนี้ ได้แจ้งไปยังพรรคเพื่อไทยให้ทราบแล้ว และพรรคเพื่อไทยไม่ได้ขัดข้อง แต่อย่างใด เพราะเราได้เตรียมร่างนี้มาสักระยะหนึ่งแล้ว เพื่อนสมาชิกได้เซ็นเสนอร่างทิ้งไว้แล้ว และมีการตัดสินใจเมื่อคืนวานนี้(13 ก.ค.) ที่จะยื่นต่อสภาในทันที เพื่อที่จะใช้เวลาให้สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเข้าใจดีว่าเมื่อเร่งรีบและต้องการให้ระยะเวลาสั้นที่สุด ก็ไม่สามารถที่จะมีเวลารอให้สมาชิกจากพรรคอื่นมาร่วมเซ็นด้วย ไม่ได้หมายความว่า พรรคเพื่อไทยหรือพรรคอื่นจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้
การยื่นแก้กฎหมายมาตรา 272 จะส่งผลให้ ต่อการตัดสินใจโหวตเลือกนายพิธา เป็นนยกฯของส.ว.หรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่า แล้วแต่มุมมอง แต่เชื่อว่าไม่ได้กระทบอะไร เนื่องจากว่า ส.ว.ก็ไม่ประสงค์ที่จะออกเสียงอยู่แล้ว จึงมองหาทางออกให้กับทุกฝ่าย ในเมื่อลงคะแนนงดออกเสียง 159 คน และไม่มาประชุมเลย 43 คน ดังนั้นส.ว.จำนวนมากก็ควรที่จะยินดีหากไม่ต้องใช้สิทธิ์อย่างเป็นทางการเลย เพราะการไม่ใช้สิทธิ์แบบการงดออกเสียงในการโหวตนายกรัฐมนตรี ทำให้เดินหน้าต่อไปไม่ได้
ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลจะเห็นด้วยกับการยื่นครั้งนี้หรือไม่นั้น คาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะร่างนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีการเสนอไปหลายครั้ง ในสภาสมัยที่แล้ว แต่ครั้งนั้นพรรคที่เป็นฝั่งรัฐบาลเช่น พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ เห็นด้วยกับร่างดังกล่าว และออกเสียงให้โดยตลอด ในครั้งนี้ก็คิดว่า ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร รวมถึงส.ว.จำนวนมาก ก็เห็นด้วยกับร่างดังกล่าว ส.ว.หลายคนที่มีความประสงค์ ไม่เห็นด้วยกับการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี นี่คือทางออกที่ดีที่สุด
ส่วนส.ว.จะเอาเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 มาเป็นเงื่อนไขในการไม่ร่วมแก้ไขมาตรา 272 นั้น นายชัยธวัช กล่าวว่า "ไป ไกลเกินกว่าที่จะโยง เพราะเรื่องนี้เป็นการหาทางออกให้ทุกฝ่ายสบายใจ ในเมื่อมีมโนธรรมสำนึกในใจว่า ไม่สามารถโหวตนายกรัฐมนตรีได้ ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป ดังนั้นเพื่อไม่ให้ท่านกระทำการอะไรที่ไม่ขัดกับมโนธรรมสำนึกของท่าน ก็ควรยกเลิกมาตรานี้ และคืนอำนาจการเลือกนายกรัฐมนตรีให้เป็นของประชาชน เมื่อตัดสินประชาชนตัดสินใจไปแล้วจะถูกจะปิดก็ไม่เกี่ยวกับส.ว. พร้อมย้ำว่า นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุด
นายชัยธวัช กล่าวต่อ ไม่กังวลว่าการยื่น แก้ไขมาตรา 272 จะพาพรรคก้าวไกลไปสู่ฝ่ายค้าน เพราะเราต้องการทำตามความประสงค์ของส.ว.จำนวนมากและไม่เกี่ยวกันกับการโหวตนายกรัฐมนตรี ต้องไปถามส.ว. ว่า ในเมื่อไม่ประสงค์ที่จะโหวตนายกรัฐมนตรี จะเห็นด้วยหรือไม่กับร่างดังกล่าว
ส่วนข้อกังวลที่ว่าระยะเวลาในการแก้กฎหมาย อาจจะยาวนาน และไม่ทันกับการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี นายชัยธวัชกล่าวว่า การแก้กฎหมายไม่ยาวนานขนาดนั้น เพราะเนื้อหาสาระไม่ได้มีอะไรมาก นอกจากการยกเลิกมาตรา 272 ซึ่งสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว และไม่สามารถบอกได้ว่าการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี จะใช้เวลาอีกกี่ครั้ง ดังนั้นเราจะพยายามที่สุดที่จะหาทางเลือกใหม่ๆให้กับสังคมไทย คาดหวังว่าสมัยประชุมนี้ฝ่ายรัฐบาลเดิมจะมีจุดยืนเช่นเดิม แม้ในขณะนี้จะไม่มีฝ่ายค้านก็ตาม ซึ่งตนเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะมีปัญหา
สำหรับส.ว.ที่งดออกเสียงอาจเป็นเพราะอคติ ต่อพรรคก็ได้ ไม่ใช่อยากปิดสวิตช์ตนเอง นายชัยธวัช กล่าวว่า ตนทราบว่าส.ว.ที่งดออกเสียง ไม่ได้หมายความว่า ต้องการจะปิดสวิตช์ตัวเองทั้งหมดแต่น่าจะมี 1 ใน 3 ที่มีความประสงค์ที่จะไม่ใช้เสียง ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีจริงๆ
พร้อมกันนี้นายชัยธวัช กล่าวถึงการที่ส.ว. ยกข้อบังคับที่ 41 ที่ว่าไม่ให้มีการเสนอญัตติซ้ำ ซึ่งการเสนอนายพิธาอีกครั้งจะขัดต่อข้อบังคับว่า เป็นการตีความผิดๆ ไม่สามารถเอาวาระการเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำหนดไว้ แยกเป็นการเฉพาะอยู่ในรัฐธรรมนูญ ไปรวมตีความรวมเป็นญัตติทั่วๆไป เหมือนญัตติอื่นๆในสภาได้ ดังนั้นต้องแยกออกจากกัน ซึ่งที่ผ่านมาทั้ง 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้มีการพูดคุยถึงเรื่องนี้กันแล้ว และเห็นตรงกันว่าไม่สามารถตีความข้อบังคับแบบนั้นได้ และไม่กังวลว่าส.ว.จะนำข้อบังคับ 41 นี้เข้ามาตีรวนในสภาจนไม่สามารถ เสนอชื่อนายพิธา ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งต่อไปได้ ส่วนถ้าเพื่อไทยจะเสนอแคนดิเดตของตนเองนั้น ตนคิดว่าก้าวไกลยังมีสิทธิ์ที่จะเสนออยู่
สำหรับที่มีแกนนำ หลายจังหวัดให้พรรคก้าวไกลถอยเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 เพื่อรักษาไว้ในนโยบายอื่นๆนั้น นายชัยธวัช ชี้แจงว่า ถ้าเป็นความเห็นจากแกนนำในพรรคแต่ละจังหวัดหรือส.ส.พรรค คงมีกระบวนการหารือกัน แต่เบื้องต้นพยายามทำความเข้าใจก่อนว่า เรื่องนี้เป็นข้ออ้างบังหน้าเท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้ได้เห็นข้อความ ที่ส่งกันใน LINE ของส.ว.ที่อ้างว่า "ให้ระวังไว้ว่านายพิธาจะประกาศในรัฐสภาว่าจะไม่แก้ 112 แต่ขออย่าให้เชื่อ อย่าให้ถูกหลอกเพราะพวกเขามีวัตถุประสงค์ ในทางไม่ดี...."
และในการประชุมรัฐสภาก็มีส.ว.บางคน ที่เป็นผู้นำจิตวิญญาณที่ระบุว่า "ต่อให้นายพิธาประกาศว่าไม่แก้ 112 ก็ไม่เชื่อ เพราะมีความเลวร้ายอื่น อีก..." ไม่มีเรื่องนี้ก็มีเรื่องอื่น สำหรับส.ว.จำนวนหนึ่ง ต้องทำความเข้าใจว่า เหตุผลที่แท้จริงคือมีกลุ่มขั้วอำนาจเดิม ยังพยายามที่จะพลิกขั้วในการจัดตั้งรัฐบาล โดยร่วมมือกับกลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มทุนที่ไม่ต้องการเห็นพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล เพราะไม่ต้องการเสียผลประโยชน์จากนโยบายของเรา ดังนั้นจึงพยายามทุกวิธีทาง ทั้งผ่านรัฐสภาหรือผ่านกระบวนการอื่นๆ รวมถึงข้อสงสัยเรื่องการทำงานขององค์กรอิสระบางองค์กร เพื่อเป้าหมายเดียว
นายชัยธวัช ปฏิเสธตอบเรื่องของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ คงไม่เกี่ยวข้องกับพรรคก้าวไกล ตนยังเชื่อว่ายังมีอีกหลายพรรคการเมือง ที่ก่อนหน้านี้ยืนยันว่า ไม่เห็นด้วยกับการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย หวังว่าพรรคการเมืองเหล่านั้นจะยังรักษาหลักการและจุดยืน ไม่โหวตให้พล.อ.ประวิตร แม้ตนเองจะยังไม่ได้ร่วมรัฐบาลปัจจุบัน เพราะรัฐบาลเสียงข้างน้อยบริหารไม่ได้
“สำหรับส.ว.คงไม่มีข้ออ้างใด ในการฝืนมติมหาชน แต่ในสัปดาห์ต่อมาเปลี่ยนไปเลือกแคนดิเดตนายกจากฝ่ายเสียงข้างน้อย อันนี้ยิ่งไปกันใหญ่ ผมคิดว่าควรโหวตคืนอำนาจตามการเสนอยกเลิกมาตรา 272 ที่พรรคก้าวไกลเสนอ จะทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ เราอาจมีรัฐบาลหรือมีนายกเร็วขึ้นจากเสียงข้างน้อย แต่เป็นความเร็วขึ้นที่ไม่เห็นอนาคตเลย ว่ารัฐบาลชุดนี้จะมีอายุเท่าไหร่” นายชัยธวัชกล่าว
ส่วนกังวลว่า จะมีเกมการเมืองที่จะทำให้พรรคก้าวไกลพลิกขั้วไปเป็นฝ่ายค้านหรือไม่ นายชัยธวัช ขอตอบแบบนายพิธาว่า “อย่าเปิดประเด็นใหม่” พร้อมไม่ขอบอกรายละเอียดการประชุมร่วมกับพรรคเพื่อไทยในเย็นวันนี้
ด้านนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ตอบคำถามเป็นภาษาอังกฤษ ถึงระยะเวลาในการเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีว่า ประเด็นสำคัญคือพรรคก้าวไกลยังไม่ยอมแพ้ เราต้องการเพียงคืนความปกติให้ระบอบประชาธิปไตยของไทย เพื่อให้อำนาจอธิปไตยยังเป็นของประชาชน และหวังว่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากประเทศที่เป็นประชาธิปไตยทั่วโลก ในความพยายามครั้งนี้ และพรรคก้าวไกลได้ตกลงกับอีก 7 พรรคแล้วว่า จะพยายามเสนอชื่อนายพิธาต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับหาวิธีแก้ปัญหาใหม่ๆ รวมถึงการยกเลิกมาตรา 272 ในครั้งนี้
ส่วนการประชุมร่วมกันของพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ในช่วงเย็นวันนี้ ซึ่งมีกระแสข่าวว่า หากการเสนอชื่อนายพิธาถึงทางตัน อาจมีการเสนอชื่อแคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย รวมถึงชื่อพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จากพรรคพลังประชารัฐเช่นกัน