ก่อนอื่นไปดูจำนวนเสียง 376 เสียง ว่ามาจากไหน ทำไมถึงได้ยาก
-376 เสียง มาจากกึ่งหนึ่งของ 2 สภา หรือ "รัฐสภา" คือ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมี 500 เสียง และ วุฒิสภา มี 250 เสียง
-หากสภาผู้แแทนฯ เทให้หมดเลย เกิน 376 เสียง ก็จะปิดสวิตช์ ส.ว.ได้ ไม่ต้องหวังพึ่ง ส.ว. แต่ในทางการเมือง เป็นไปได้ยาก
-เสียงที่ต้องการจากวุฒิสภา ที่มาของ ส.ว. มาจากการแต่งตั้งโดย คสช. ซึ่งมีท่าทีอยู่ตรงข้ามกับ "ว่าที่รัฐบาลชุดใหม่" ทำให้ได้เสียงสนับสนุนยากมาก
-"ว่าที่รัฐบาลใหม่" รวมเสียงได้ 312 เสียง ต้องการ ส.ว.อีก 64 อีก แต่ไม่ใช่ง่าย เพราะ ส.ว.มาจากการแต่งตั้งของ คสช. ซึ่งขณะนี้เป็นฝ่ายเสียงข้างน้อย 188 เสียง ตรงข้ามกับ 312 เสียงในสภาผู้แทนฯ
จำนวนเสียงจาก 2 สภา ต้องได้ 376 เสียงขึ้นไปแบบนี้ ใช้ในระยะ 5 ปีแรก ตั้งแต่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญ ก็คือเริ่มนับตั้งแต่ปี 2562 จะไปครบ 5 ปี วันที่ 11 พ.ค. 2567 คือปีหน้า
ทั้งนี้ ไม่ใช่แค่จำนวนเสียงที่ได้ยาก แต่ขั้นตอนและวิธีการโหวต ก็คลุมเครือ
เมื่อพลิกดูในรัฐธรรมนูญ เรื่องการเลือกนายกฯ เขียนไว้ 2 มาตราหลักๆ คือ มาตรา 159 กับ มาตรา 272
โดยมาตรา 159 สรุปใจความได้ว่า
ในภาวะปกติที่ไม่ใช่ 5 ปีแรก การเลือกนายกฯ จะเป็นแบบนี้ เหมือนนานาอารยะประเทศทั่วโลก คือเลือกจาก ส.ส. ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง คือ เกิน 250 เสียง ก็จบ ได้เป็นนายกฯเรียบร้อย
ทว่า ในช่วง 5 ปีแรก การโหวตนายกฯ ต้องใช้เสียง ส.ว.ด้วย ตามที่บัญญัติในบทเฉพาะกาลมาตรา 272
ดังนั้น สรุปให้เข้าใจ คือ ในระหว่าง 5 ปีแรก เลือกนายกฯแบบมาตรา 159 แทนที่จะใช้แค่เสียง ส.ส. 251 เสียงขึ้นไป แต่กลับต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของ 2 สภา คือ 376 จาก 750 รวม ส.ส.+ ส.ว.
โดยรัฐธรรมนูญเขียนไว้เท่านี้ แต่ไม่ได้บอกวิธีการโหวต ว่าถ้าโหวตครั้งแรกแล้วไม่ได้ จะโหวตซ้ำได้อีกกี่ครั้ง
แต่วรรค 2 ของมาตรา 272 บัญญัติไว้แบบนี้
-ถ้าไม่อาจแต่งตั้งนายกฯ จากบัญชีแคนดิเดตได้ ไม่ว่าด้วยเหตุใด ให้สมาชิกของทั้งสองสภา คือ ส.ส. และส.ว. รวมกัน จะเป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ โดยมีจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา คือ ต้องเกิน 376 เข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภา ขอให้รัฐสภามีมติยกเว้น ไม่ต้องเสนอชื่อนายกฯจากบัญชีแคนดิเดต
-จากนั้นให้ประธานรัฐสภา เรียกประชุมรัฐสภาโดยพลัน ขอมติอนุมัติ ซึ่งบางคนเรียก "ไขกุญแจ" โดยเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ซึ่งก็คือ 500 เสียง จาก 750 เสียง ก็จะเท่ากับเปิดประตูให้เลือกนายกฯ จากคนนอกบัญชีแคนดิเดต หรือกลับไปคนในบัญชีแคนดิเดตก็ได้
-เสียงโหวตชี้ขาดสุดท้าย กลับไปที่ 376 เหมือนรอบแรก แต่ที่ยากเพราะต้องได้ 500 เสียงในขั้นตอนก่อนหน้า
นี่คือสิ่งที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ทั้งหมด ซึ่งจะเห็นได้ว่า ปัญหาการโหวตนั้น รัฐธรรมนูญไปให้น้ำหนักการโหวตรอบแรกไม่ได้ คือ โหวตคนในบัญชีแคนดิเดตไม่ได้ ก็เปิดทางให้ไปเลือกคนนอกบัญชี แต่ต้องใช้เสียง ส.ส.+ส.ว. เพิ่มขึ้น จาก 376 เป็น 500 ตรงนี้เขียนละเอียดชัดเจน
แต่ที่เขียนไม่ชัด คือ การเลือกนายกฯรอบแรก ถ้าเลือกไม่ได้ จะเลือกซ้ำได้กี่ครั้ง เสนอชื่อคนเก่าได้หรือไม่ ซึ่งกรณีที่ว่านี้ จะเกิดปัญหาขึ้นก่อนจะก้าวไปถึงการไปเลือก "นายกฯนอกบัญชีแคนดิเดต" เพราะฝ่ายพรรคการเมืองย่อมต้องอยากได้นายกฯ จากบัญชีแคนดิเดตของพวกตนก่อนเป็นอันดับแรก
สำหรับปัญหาการโหวตเลือกนายกฯในบัญชี รอบแรก คนแรก ยกตัวอย่างของจริง คือ เลือกว่าที่นายกฯพิธา ปัญหาที่ถกเถียงกันก็คือ
1.ถ้าเลือกครั้งแรกแล้วไม่ผ่าน จะเลือกซ้ำได้หรือไม่
กรณีญัตติไม่ตกไป การเสนอชื่อคนเดิม ดูจะลักลั่น และไม่ค่อยมีตรรกะเหตุผลรองรับ
แต่เมื่อเทียบกับการเสนอกฎหมาย หรือ ร่าง พ.ร.บ. หากเสนอแล้วตก ก็ต้องไปเสนอใหม่สมัยประชุมหน้า และไม่ควรเสนอร่างเดิมกลับเข้ามาอีก จะต้องไปปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เพื่อให้สภายอมรับ
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นน่าสงสัยอีกว่า หากญัตติตกไป เสนอญัตติใหม่ ต้องเว้นวรรคสักกี่วัน หรือหากญัตติไม่ตกไป เสนอชื่อคนใหม่ หรือคนเดิม ต้องเว้นวรรคสักกี่วัน
ทั้งหมดนี้จะนำมาสู่การถกเถียงกันวุ่นวายในที่ประชุมแน่นอน โดยเฉพาะนัดแรกวันที่ 13 ก.ค. ซึ่งโอกาสที่จะเลือกนายกฯ กันอย่างราบรื่น ยังมองไม่เห็น