
ขณะที่ พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 ซึ่งกำหนดให้มี "บอร์ด 7 เสือกลาโหม" ทำหน้าที่พิจารณาปรับย้ายนายทหารชั้นนายพล ก็เป็นเสมือน "กำแพงเหล็ก" ที่สกัดพรรคการเมืองไม่ให้ "ล้วงลูกโผทหาร"
ส่วนนโยบายที่ว่าที่รัฐบาลก้าวไกลหาเสียงเอาไว้ คือ "ปฏิรูปกองทัพ" นั้น จะทำได้จริงหรือไม่ หลายฝ่ายยังกังขา และเอาใจช่วย เพราะหากวางตัว "บิ๊กเหล่าทัพ" ที่เป็นสายปฏิรูป ให้เข้าไปคุมกองทัพไม่ได้ ก็ยากที่จะผลักดันนโยบายได้สำเร็จ
แต่ความเคลื่อนไหวของกองทัพเอง กลับคึกคักเป็นพิเศษ มีการประชุมหารือ วางแผนการปฏิรูปกองทัพกันแทบทุกวัน จนหลายคนแซวว่า นี่คือ "คุณูปการ" ของว่าที่รัฐบาลก้าวไกล เพราะทำให้กองทัพจริงจังกับแผนปฏิรูปมากขนาดนี้
จะว่าไปแล้วกองทัพก็ทำแผนปฏิรูปมาตลอด เพียงแต่ไม่ได้ประชาสัมพันธ์สู่ภายนอก และอาจจะทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนทำให้สังคมไม่ทราบว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นช้าๆ ขณะที่คนรุ่นใหม่ใจร้อน อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ทำให้พาลคิดไปว่า กองทัพอยู่เฉยๆ ไม่ได้อะไร
"เนชั่นทีวี" ได้ข้อมูลแผนปฏิรูปกองทัพ โดยเฉพาะแผนใหญ่ที่สุด ที่คนให้ความสนใจมากที่สุด คือ "แผนลดกำลังพล" โดยเฉพาะ "นายพล" ที่ว่ากันว่า "นายพลเมืองไทย" มีมากที่สุดในโลก
โดยแผนปรับลดกำลังพล เป็นแผนของกระทรวงกลาโหมเอง เรียกว่า "แผนแม่บท พ.ศ.2560-2569" ซึ่งรายละเอียดของแผน จะมีการปรับลดกำลังพล 2 ระดับ คือ
แนวทางที่ได้ดำเนินการมาแล้ว และกำลังดำเนินการต่อไป ก็คือ
1.กำลังพลชั้นยศสูง ลดตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ผู้ทรงคุณวุฒิ ยศพลตรีถึงพลเอก ทุกเหล่าทัพ
ดำเนินการตั้งแต่ปี 2551- 2571 เป้าหมายลดลงให้ได้ 50% คือ จากเดิมมีทั้งสิ้น 768 นาย เหลือ 384 นาย ซึ่งตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ บางส่วน ถูกมองว่าเป็นนายพลว่างงาน ไม่มีโต๊ะทำงาน แต่ระยะหลังกองทัพก็มอบภารกิจให้ทำ แต่ก็ยังถูกค่อนแคะอยู่ดี
โดยนอกจากลดในส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิ กับผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ยศนายพลแล้ว ก็ยังลดตำแหน่งนายทหารปฏิบัติการ หรือ นปก. ยศพันเอกของทุกเหล่าทัพด้วย
การลดกำลังพล นายทหารปฏิบัติการ เริ่มตั้งแต่ปี 2551-2571 เป้าหมายลดลง 50% จากเดิม 2,696 นาย เหลือ 1,349 นาย
สถานการณ์ปัจจุบัน ทั้ง 2 กลุ่มปรับลดจำนวนกำลังพลได้ตามแผน
2.กําลังพลนายทหารสัญญาบัตร ประทวน พลอาสาสมัคร
ดำเนินการลดกำลังพล ตั้งแต่ปี 2563 - 2570 ปรับลดรายปี ปีละ 5% ยอดรวมจาก 237,624 นาย ณ ปี 2563 เหลือ 227,410 นาย ณ ปี 2570 เท่ากับลดลง 11,794 นาย
นอกจากแผนปรับลดกำลังพลในรูปแบบของ "การปรับลดอัตรา" ที่มีอยู่เดิม ยังมีแนวทางอื่นๆ ที่กระทรวงกลาโหมดำเนินการ ได้แก่
1.ปรับลดยอดการผลิตกําลังพลจากสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงกลาโหม เช่น โรงเรียนนายร้อย จปร. โรงเรียนนายสิบ โรงเรียนนายเรืออากาศ ฯลฯ ปัจจุบันรับปีละร้อยกว่าถึงสองร้อยกว่าคน จากเดิมในยุคที่มีศึกสงคราม รับหลายร้อยจนถึงหลักพัน แถมมี "นายร้อยสำรอง" เรียนจบเร็วกว่ากำหนด เพื่อให้ไปออกรบ ปัจจุบันไม่มีแล้ว
2.การนํา "กําลังพลสํารอง" เข้ารับราชการเป็นทหารชั่วคราว หรือ "ทหารอาสา" ในรูปแบบสัญญาจ้าง 4-8 ปี โดยกำลังพลสำรอง มาจากนักศึกษาวิชาทหาร หรือ ร.ด. ที่สําเร็จการศึกษาหลักสูตรการฝึกตั้งแต่ชั้นปีที่ 3 ขึ้นไป และทหารกองประจําการที่รับราชการ ครบตามระยะเวลา และปลดประจําการเป็นทหารกองหนุนแล้ว และกลุ่มทหารเกณฑ์ปลดแล้ว
นโยบายนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2563 เป้าหมายเพื่อลดภาระผูกพันเรื่องเงินเดือน โดยเฉพาะเงินบำนาญ
3.นําระบบ "ข้าราชการพลเรือนกลาโหม" มาใช้บรรจุ แทนข้าราชการทหารประจําการ เน้นกลุ่มงานที่ต้องใช้ความชํานาญเฉพาะทาง เช่น แพทย์ กฎหมาย งบประมาณและการบัญชี ครูอาจารย์ นักวิจัย เป้าหมายเพื่อลดความคับคั่ง และคอขวดในการเข้าสู่ตำแหน่งที่มีอัตรายศสูงขึ้น ซึ่งจะเริ่มใช้ปีงบประมาณ 2567 ปัจจุบันมีการออกพระราชกฤษฎีกาข้าราชการพลเรือนกลาโหม เรียบร้อยแล้ว
4.โครงการเกษียณอายุราชการก่อนกําหนด หรือ Early Retirement โดยกําลังพลที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ จะได้รับการพิจารณาให้ได้เลื่อนยศสูงขึ้น 1 ชั้นยศ เป้าหามายเพื่อลดกําลังพลของกลาโหม
นายพลเมืองไทย 1,514 นาย - เป้าก้าวไกลเกิดยาก!
ปิดท้ายที่จำนวนนายพลเมืองไทย ซึ่งเป็นตัวเลขที่แทบไม่เคยเปิดเผยที่ไหน คนทั่วไปรู้กันแต่ว่า นายพลเมืองไทยมีเยอะ อาจจะเยอะที่สุดในโลก แต่ไม่มีใครรู้ตัวเลขที่แน่นอน
"เนชั่นทีวี" ได้ข้อมูลมาว่า "นายพลเมืองไทย" ทุกเหล่าทัพ ตัวเลขปัจจุบันอยู่ที่ 1,514 นาย
หากย้อนไปฟังนโยบายที่พรรคก้าวไกลเคยประกาศตอนหาเสียง ที่ต้องการลดจำนวนนายพลเหลือเพียง 400 นาย ซึ่งคนในกองทัพยอมรับว่า "ไม่ใช่เรื่องง่าย" เหตุผลคือ