17 มิถุนายน 2566 นายกัณวีร์ สืบแสง เลขาธิการพรรคเป็นธรรม เปิดเผยถึงกรณีมีรายงานข่าวว่า นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐบาลรักษาการของไทย เชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเมียนมา และสมาชิกอาเซียน มาเข้าร่วมประชุมอย่างไม่เป็นทางการในวันอาทิตย์ ที่ 18 มิถุนายนนี้ เพื่อหารือแผนสร้างสันติภาพในเมียนมา ว่า ตนขอตั้งคำถามว่าการทำหน้าที่รัฐบาลรักษาการ ที่ต้องการแสดงบทบาทการเป็นผู้นำในอาเซียนเรื่องการแก้ไขปัญหาในเมียนมา ตอนนี้ เพื่อ !
โดยตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 หลังจากการปฏิวัติโดยทหารพม่า โค่นล้มระบอบประชาธิปไตยในเมียนมา ตามด้วยการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง โดยการเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ ที่ออกมาเรียกร้องอำนาจของประชาชนคืนจากปลายกระบอกปืนด้วยการเคลื่อนไหวแบบอารยขัดขืน (civil disobedient movement—CDM) รอบประเทศ
"ผมยังจำได้ระหว่างปฏิบัติหน้าที่กับ UNHCR ในเมืองพะอัน รัฐกระเหรี่ยง ในช่วงเวลาดังกล่าว การเข่นฆ่าประชาขนแบบไม่เลือกปฏิบัติทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตและการผลัดถิ่นภายในประเทศจำนวนหลายแสนคน และลี้ภัยไปยังประเทศเพื่อนบ้าน อย่างบังคลาเทศ อินเดีย จีน และไทย เป็นหมื่นกว่าคน แต่การปฏิบัติของทหารพม่าต่อประชาชนเน้นการปราบแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน “ประท้วง เท่ากับ จับ ขัง ฆ่า” การค้นหากลุ่มผู้ต่อต้านในบ้านเรือนทั่วประเทศยามวิกาล เกิดขึ้นอย่างไม่ลดละ ฯลฯ"
นายกัณวีร์ กล่าวว่า ช่วงนั้นรัฐบาลไทยโดยการนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำอะไร ข้าวสารหลายร้อยกระสอบเตรียมขนไปให้ทหารพม่าวางเรียงรายที่ อ.แม่สามแลบ จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อไปสนับสนุนการปฏิบัติการทางทหารให้ทหารพม่าถูกเปิดโปงโดยสื่อไทย จนต้องส่งข้าวสารคืน ผู้ลี้ภัยที่หนีตายทั้งลูกเล็กเด็กแดง คนป่วยมีสายน้ำเกลือระโยงระยาง
รวมทั้งคนชราและสตรี ลี้ภัยข้ามมายังฝั่งไทย ได้รับการดูแล 1 คืนแล้วผลักดันกลับ เพราะทางราชการไทยประเมินแล้วว่าสถานการณ์ฝั่งเมียนมาดีขึ้นแล้ว ทั้ง ๆ ที่ยังมีระเบิดจากเครื่องบินขับไล่เมียนมาทิ้งระเบิดไปยังพื้นที่พะพูน รัฐกระเหรี่ยงอย่างไม่หยุดหย่อน การกวาดล้างและจับกุมผู้ลี้ภัยมาไทย เพราะหนีตายและชี้แจงว่าผู้หลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ และผลักดันกลับโดยส่งมอบให้ทหารพม่า
"จริงเหรอ รัฐบาลรักษาการอยากเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาในเมียนมา คุณดูบ้างหรือไม่ว่าคุณทำอะไรไว้ก่อนหน้านี้ นี่ยังไม่รวมถึงความพยายามรักษาความสัมพันธ์กับผู้สถาปนาอำนาจรัฐโดยกำลังทหาร อย่างทหารพม่า กับผู้นำรัฐบาลไทย เพราะกลัวสูญเสียความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างสองประเทศ โดยปราศจากการระลึกถึงการเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่สูญเสียชีวิตนับหมื่นคนในเมียนมาว่าความสัมพันธ์เลือดนี้ ไม่ควรจะถูกสร้างอีกต่อไป" นายกัณวีร์ ระบุ
โดยตนมองว่าสมควรที่ถูกอินโดนีเซียปฏิเสธการเข้าร่วมการเชิญที่ดูมีเลศนัยนี้ จากรัฐบาลรักษาการของไทย ซึ่งตนเองมีโอกาสได้เข้าพบ Special Envoy (ผู้แทนพิเศษ) ของอินโดนีเซียต่ออาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ และมีโอกาสแลกเปลี่ยนทัศนะ ในฐานะผู้เคยทำงานในเมียนมาในช่วงวิกฤตดังกล่าว และเสนอแนวทางการแก้ไขที่น่าจะเป็นไปได้ จากการพูดคุยกับท่าน Special Envoy มีความเชื่อมั่นมากขึ้นกับฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน (5 Point Concensus)
เพราะท่านได้ให้คำยืนยันว่าจะเร่งดำเนินการเดินทางเข้าเมียนมาให้ได้เพื่อเริ่มบทสนทนาโดยเร็ว โดยมีอาเซียนเป็นตัวจักรหลักในการแก้ไขปัญหา และผมได้รบกวนให้ท่านพิจารณาเรื่องรากเหง้าแห่งปัญหาด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงเป็นประเด็นสำคัญหนึ่งในการพูดคุยด้วย"
นายกัณวีร์ กล่าวอีกว่า โดยข้อเสนอของตนเอง เรื่องนำประเทศเพื่อนบ้านของเมียนมาเป็นกลุ่มสนทนาหลักอีกกลุ่มหนึ่งต่อการกดดันเมียนมานั้น ได้รับการตอบรับว่าอาเซียนก็ได้เริ่มต้นด้านนี้แล้ว และหากมีโอกาสจะได้มาแชร์ข้อมูลกันมากขึ้น ข้อเสนอสุดท้ายของตนในเรื่อง cross-border interventions ต่อผู้ผลัดถิ่นภายในประเทศเมียนมาหลักเกือบสามแสนคนที่อยู่ใกล้บริเวณชายแดนไทย
โดยผ่านการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมผ่านชายแดนไทย นั้น ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และท่าน Special Envoy ได้ให้ความสำคัญต่อประเด็นนี้มาก ตนได้เรียนไปว่า UN ไม่สามารถทำได้อย่างเป็นทางการ เนื่องจากติดขัดด้านกระบวนการที่ต้องขอการอนุมัติจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ดังนั้น การใช้ประเทศไทยที่มีชายแดนติดกันถึง 2,401 กม. จะช่วยเหลือสถานการณ์ฉุกเฉินต่อผู้ต้องการได้รับความช่วยเหลือในสถานการณ์มนุษยธรรมได้อย่างดี
นายกัณวีร์ ย้ำว่า อาเซียนต้องรับบทบาทหลักในการจัดการกับปัญหาในเมียนมาอย่างแน่นอน แต่ไทยต้องชิงสถานการณ์ที่เราจะมีรัฐบาลของประชาชนที่เป็นประชาธิปไตยนำในการเป็นผู้นำต่อการบริหารจัดการสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนในเมียนมาโดยเร็ว โดยใช้ภูมิรัฐศาสตร์ที่เรามี และไทยจะสามารถชิงการเป็นผู้นำในเวทีโลกได้อย่างสง่างามต่อไป
"ทำไมรัฐบาลรักษาการ จึงอยากจะมามีบทบาทในช่วงนี้เพื่อ ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาไม่เคยแสดงบทบาทผู้นำที่ไทย ต้องทำคือการเปิด ประตูมนุษยธรรม Humanitarian Corridor ต่อสถานการณ์ความรุนแรงในเมียนมา ให้การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกับผู้หนีภัยการสู้รบชายแดนเมียนมา-ไทย ที่ยังคงถูกประหัตประหารจากรัฐบาลเมียนมา ซึ่งล่าสุดอพยพมายังไทยและได้รับการช่วยเหลือกว่า 3,000 คน และสถานการณ์ยังไม่มีแนวโน้มจะยุติลง เหมาะสมแล้วหรือไม่ที่รัฐบาลรักษาการจะทำแบบนี้" เลขาธิการพรรคเป็นธรรม กล่าวทิ้งทาย