7 มิถุนายน 2566 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีหุ้นไอทีวี ว่า เรื่องหุ้นคงจะต้องรอฟังอย่างเดียวว่า กกต.จะชี้มูลเป็นอย่างไร ส่วนเรื่องภายในครอบครัว ตนเองก็เป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งที่ศาลอนุญาต ซึ่งการโอนหุ้นก็เช่นเดียวกับที่ชี้แจงไปเมื่อวานนี้(6 มิ.ย.) คือในฐานะเป็นผู้จัดการมรดก และมีเอกสารยืนยันคำสั่งศาล และยืนยันว่า เป็นผู้จัดการมรดกอย่างเดียว ไม่ได้เป็นผู้รับโอน
ส่วนกรณี ที่มีข้อมูลว่า กกต. ตั้งประเด็นว่า อาจจะเข้าข่ายรู้อยู่แล้วว่า มีคุณสมบัติต้องห้าม แต่ก็ยังมาลงสมัครรับเลือกตั้งนั้น มองว่า เท่าที่ได้อ่านข่าวและดูโดยละเอียดไม่ได้ดูแค่พาดหัว พารากาฟสุดท้าย ระบุว่าข้อมูลยังไม่เพียงพอ ทางกกต.ยังจัดการเรื่องการตั้งรูปคดีอยู่ จึงต้องรอกกต.ก่อน และยังไม่ให้ความเห็นไปมากกว่านี้ได้
ส่วนเรื่องกระบวนการฟื้นฟูไอทีวี คิดว่าใครอยู่เบื้องหลัง หรือไม่นั้น นายพิธา กล่าวว่า ตนได้รับข่าวจากที่มีคนส่งมาให้ จะต้องพูดกันให้ชัด ตนเองไม่ทราบว่าใครอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลการฟื้นคืนชีพเรื่องทางธุรกิจหรือเรื่องทางการเมือง ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร เพราะความน่าจะเป็นมีอยู่ในอนาคต จึงเป็นเหตุผลต้องมีการบริหารจัดการเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ยื่นชี้แจงเรื่องถือหุ้นกับ ปปช.ไปในปี 62 เป็นการจัดการตามพินัยกรรม หรือตามคำสั่งศาล นายพิธา ชี้แจงว่า เรื่องรายละเอียดของหุ้นภายในครอบครัว ขอรอรายละเอียดจากกกต. ซึ่งมีคำตอบอยู่แล้ว
เมื่อถามว่าเบื่อหรือไม่ มีแต่ข่าวหุ้น จนทำให้อาจจะจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ นายพิธา กล่าวว่า ไม่รู้สึกกังวล แต่ไม่ประมาท เพราะทั้ง 3 ด่านไม่ว่าจะเป็น ศาลรัฐธรรมนูญ ส.ว. และ กกต. ได้วางแผนการทำงานไว้หมดแล้ว
เมื่อถามถึงกรณีที่มีข้อมูลพบว่า นายพิธา ไปค้ำประกันเงินกู้แล้วไม่ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินกับปปช. ว่า เรื่องนี้ไม่มีปัญหาอะไร เพราะได้มีการประสานงานกับปปช.โดยตลอด ซึ่งยังไม่ได้เห็นข้อมูลทั้งหมด และหากมีคนร้องเรียนเรื่องนี้จริง ตนเองก็ยินดีพร้อมที่จะชี้แจงรายละเอียด เช่นเดียวกับเรื่องหุ้นสื่อ ไม่ได้เป็นมีอะไรน่ากังวล และไม่มีปัญหาอะไร
เมื่อถามถึงกรณี กกต.จะมีการพิจารณาให้ใบแดง กว่า 20 คน หากพรรคก้าวไกลถูกใบแดง จะกระทบกับสมการ การเป็นผู้นำรัฐบาลหรือไม่เนื่องจากเพื่อไทยกับก้าวไกล มีคะแนนห่างกันแค่ 10 เสียง และนายพิธายังมีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า การประกาศรับรอง ส.ส.เพื่อเปิดสภาฯได้จะต้องมี ส.ส. 475 คน แม้จะเป็นจริงก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อการตั้งรัฐบาล หรือการเปิดประชุมสภาฯส่วนจะถึง 20 คนจริงหรือไม่นั้น
จากการสอบถามกันภายใน 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ก็ไม่ได้มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาทางพรรค ทั้งนี้หากมีการเลือกตั้งใหม่ ฝั่งเราก็พร้อมที่จะเลือกตั้ง และคาดว่าน่าจะเป็นจุดที่ทำให้เราได้ส.ส.เพิ่มมากขึ้นด้วย
เมื่อถามว่า หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนต่อไป จะมาจากพรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า เรื่องอุบัติเหตุทางการเมืองอนุมานได้หลายรูปแบบ แต่พรรคก้าวไกลก็คิดไว้หลายรูปแบบในทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น รวมถึงสถานการณ์ที่ไม่ได้มีคำถามจากสื่อมวลชน เพื่อให้โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองเป็นไปได้น้อยที่สุด