"สติธร" เสนอทางออก ตำแหน่งประธานสภาฯ หาก"ก้าวไกล-เพื่อไทย"จบไม่ลง

26 พฤษภาคม 2566 ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า ให้ความเห็นถึงกรณีพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ออกมาเคลื่อนไหวหวังได้ตำแหน่งประธานสภาฯว่า คงเป็นตำแหน่งที่ยอมกันไม่ได้ ซึ่งในมุมของพรรคก้าวไกล การได้ประธานสภาจะส่งผลต่อความราบรื่นในการผลักดันนโยบาย รวมถึงการบรรจุวาระสำคัญต่างๆ ส่วนในมุมของพรรคเพื่อไทย อาจจะมองว่ายอมตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปแล้ว ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติถึงไม่แบ่งให้กันบ้าง รวมถึงอาจมองถึงคุณสมบัติที่เหมาะสม ว่าต้องเป็นคนที่อาวุโสหน่อยหรือไม่ มีประสบการณ์ถึงจะมีบารมีมากพอในการคุมเสียงสภา และบุคลากรในพรรคมีความพร้อมมากกว่า 

ดร.สติธร บอกต่อว่าเหนือสิ่งอื่นใด คงต้องยอมรับว่าการจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรคการเมือง มันไม่ใช่เรื่องง่าย ยังมีความไม่แน่นอนอีกมากมาย หากพรรคก้าวไกลยกตำแหน่งประธานสภาฯให้พรรคเพื่อไทย แต่วันหนึ่งกลับไม่ได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีขึ้นมาจะทำอย่างไร อีกทั้งหาก นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เกิดอุบัติเหตุทางการเมือง แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยก็มีสิทธิเช่นเดียวกัน ถึงวันนั้นพรรคเพื่อไทยก็อาจจะถูกมองว่ากินรวบด้วยหรือไม่ 

เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ ที่จะสรรหาบุคคลจากพรรคการเมืองอื่นมานั่งตำแหน่งดังกล่าวแทน หากตกลงกันไม่ได้ ดร.สติธร บอกว่ามีความเป็นไปได้ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาก็เคยผ่าทางตันด้วยลักษณะแบบนี้มาแล้ว ก่อนพูดถึงชื่อนายวันมูหะมัด นอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ ที่ก็มีประสบการณ์เคยเป็นประธานรัฐสภามาก่อนด้วย ถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่จะทำให้ทั้งสองพรรคการเมืองได้ถอยคนละก้าว แต่สุดท้ายก็อยู่ที่ทั้งพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทยต้องคุยกันให้ได้ข้อสรุปว่าจะเอาอย่างไร ถ้าตกลงกันได้โอกาสตั้งรัฐบาลก็จะราบรื่นมากขึ้น 

ส่วนหากตกลงกันไม่ได้ ดร.สติธร เชื่อว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะนี่ถือเป็นด่านแรกก่อนจะไปเลือกนายกรัฐมนตรี วันนี้แม้จะเซ็นบันทึกความเข้าใจร่วมกัน แต่หากแยกกันเดิน วันหนึ่งตำแหน่งนี้อาจตกไปอยู่ในมือพรรคการเมืองขั้วอื่นเลยก็ได้ มากกว่านั้นอาจทำให้การตั้งรัฐบาลพัง 

“ทั้งสองพรรคต้องคิดให้ดี คิดให้รอบคอบ และต้องมองให้รอบด้าน มองเป้าหมายปลายทางเป็นสำคัญ” 

ดร.สติธร ยังได้ให้ความเห็นถึงคุณสมบัติของประธานสภาฯคนต่อไปว่าคงต้องแม่นเรื่องระเบียบข้อบังคับ รวมถึงเรื่องบารมีทางการเมืองก็คงมีส่วน แต่อาจไม่ต้องมากหรือเจาะจงว่าต้องผู้มีอาวุโสเท่านั้น เพียงต้องเจนจัด เข้าใจธรรมชาติของสมาชิกทุกคน “ถ้าพึ่งเป็น ส.ส.สมัยแรกเลยเพียวๆ ยังกังวลแทนอยู่ แต่หากเคยทำงานสภามาแล้ว ก็พอได้”