24 พฤษภาคม 2566 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ เข้ายื่นหนังสือเพิ่มเติมถึงประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อขอให้ตรวจสอบเพิ่มเติมว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน)
โดยระบุว่า ในวันนี้มีการนำผู้ถือหุ้น 18 ปีย้อนหลังและรายงานประจำปีงบกำไรขาดดุลมายื่นต่อ กกต. ซึ่งเป็นหลักฐานให้เห็นว่าบริษัทไอทีวี เป็นบริษัทมหาชนจำกัด ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน ปี 2535 การปรากฏชื่อและนามสกุล ของนายพิธาโดยไม่มีห้อยท้าย ตามพ.ร.บ.ดังกล่าวให้ถือว่าถูกต้อง
และวัตถุประสงค์หลักของบริษัทไอทีวีหลักมี 4 ข้อที่เกี่ยวข้องกับการทำสื่อมวลชนต่างๆที่ไม่ใช่เฉพาะสื่อไอทีวี ซึ่งมีรายได้ที่ลดหลั่นกันลงมา พร้อมกับระบุว่า นายพิธาในฐานะผู้ถูกร้องก็สามารถแก้ข้อกล่าวหา นอกจากนี้จะยังมีการส่งเอกสารเพิ่มเติมมายังกกต.อีกครั้ง ทั้ง มติครม. สัญญาไอทีวีกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี(สปน.) และคำพิพากษาศาลปกครอง
นอกจากนี้นายเรืองไกร ยังยื่นร้องต่อกกต. กรณีการเซ็น MOU จัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกลและพรรคร่วม รวม 8 พรรค โดยระบุว่า การลงนามในบันทึกข้อตกลงดังกล่าว หากขัดต่อรัฐธรรมนูญที่ระบุไว้ว่า ส.ส.ต้องไม่อยู่ภายใต้อาณัติมอบหมาย ซึ่งการลงนามในนามหัวหน้าพรรคอาจเข้าข่ายการกระทำความผิดตามมาตรา 28 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง โดยตนมองว่าการลงนาม 8 พรรคการเมือง เท่ากับเป็นการยอมรับเงื่อนไขของอีก 7 พรรคที่เหลือ ในการทำกิจกรรมทางการเมือง
ซึ่งขณะนี้พยานหลักฐานครบถ้วนแล้วจึงอยากให้กกต. พิจารณาว่าเข้าข่ายการกระทำความผิดหรือไม่ พร้อมระบุด้วยว่า ไม่ใช่เพียงการพิจารณาการกระทำผิดมาตรา 28 ตามพ.ร.ป.พรรคการเมืองเท่านั้น โดยจากการดูระเบียบข้อบังคับพรรคของพรรคก้าวไกล ยังไม่ปรากฏให้หัวหน้าพรรคสามารถลงนามในบันทึกข้อตกลงได้
หากดูตรงนี้ประกอบกันหลายคนอาจคิดไม่ถึงว่า อาจเข้าข่ายการยุบพรรคการเมืองหรือไม่ ตามมาตรา 92(3) การกระทำดังกล่าว ถือเป็นข้อต้องห้ามการกระทำของพรรคการเมือง แต่ท้ายที่สุด ก็ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของกกต.ว่า เห็นสอดคล้องกับที่ตนเห็นหรือไม่
นายเรืองไกร กล่าวต่อ หลักฐานต่างๆที่ได้มานั้น ตนได้มาจากนักการเมืองเป็นผู้ให้มา และเมื่อได้ข้อมูลมาก็ได้กลั่นกรองแล้ว หากวันนี้กกต.รับรอง แล้วยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ ตนจะขอให้นักการเมือง เมื่อมีการประกาศรับรอง สมาชิกภาพสามารถร้องตรงไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกับกรณีการถือหุ้นของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คู่ขนานกับการยื่นร้องต่อกกต.
ขณะเดียวกันหากนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี ตนจะบอกไปยังส.ว.จำนวน 1 ใน10 สามารถร้องนายกรัฐมนตรีได้ เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติ
"การยื่นร้องเรียนกกต.ในวันนี้ ไม่ใช่เงื่อนไขให้ส.ว.โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด เมื่อมีเหตุให้ตรวจสอบตนก็ร้อง แต่เมื่อร้องแล้วจะใช่หรือไม่ใช่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งตนยืนยันก่อนหน้าพนักงานสอบสวนว่า การให้การของตนนั้นเป็นไปตามข้อเท็จจริง เพราะหากผลให้การเท็จก็ติดคุก ไม่ใช่เรื่องสนุก อีกทั้งหากพบว่าไม่ว่าผู้ใดจะเป็นผู้กระทำความผิด ตนก็พร้อมที่จะยื่นเรื่องร้องเรียนทันทีหากมีเรื่องต้องร้อง" นายเรืองไกร กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายเรืองไกรให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน นายวรัญชัย โชคชนะ ได้มายืนถือป้ายประกบวงสัมภาษณ์ โดยมีข้อความระบุว่า ขอให้กำลังใจและสนับสนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี อย่าให้เหมือน"สมัคร ทำกับข้าว" และเดินประกบนายเรืองไกร พร้อมตะโกน ขณะนายเรืองไกรยื่นเรื่องต่อกกต.