21 พฤษภาค 2566 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก กล่าวถึงพรรคก้าวไกลว่า “2 เสียง แลก 14 ล้านเสียง” พรรคก้าวไกลได้คะแนนจากประชาชนที่ความศรัทธาล้วนๆ แตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นที่ต้องอาศัยระบบ “หัวคะแนนและกระสุน” พรรคก้าวไกล มี “หัวคะแนนธรรมชาติ” ลูกหลานคนในบ้านบอกเล่าให้พ่อแม่เลือก การดำรงอยู่ของพรรคก้าวไกลจึงต้องรักษา “อุดมการณ์” อย่างมั่นคงแน่นแฟ้น เพราะเป็นสมบัติเดียวที่มี
“การนำเอาพรรคชาติพัฒนากล้าที่มี นายกรณ์ เป็นแกนนำพรรค มีเสียงอยู่ 2 เสียง มาเติมเพื่อให้นายพิธาได้เป็นนายกฯ มันได้ไม่คุ้มเสีย”
พรรคก้าวไกล ตอบรับเสียงของประชาชน จนตอนดึกเมื่อคืนบอกลา 2 เสียง บางคนบอกว่า ให้มองข้าม และรวมเสียงให้ได้มากที่สุด เพื่อจะพึ่งเสียงของ ส.ว. ให้น้อยที่สุด แต่คะแนน 14 ล้านเสียงเป็น “ยันต์” ให้ก้าวไกลมั่นใจในเกมการขู่จาก “อำนาจเก่า”
ส.ว. ต้องการโหวตอย่างไร ก็เป็นเรื่องของ ส.ว. หากเสนอนายพิธาแล้วไม่ผ่าน ส.ว. ก็เสนอไปเรื่อยๆ จะอีกกี่ครั้งก็ได้ เพื่อทำให้เห็นว่า นายพิธาจะเป็นนายกฯ ได้ ย่อมมาจาก “บุญคุณของประชาชน” ไม่ใช่ “บุญคุณของ ส.ว.” ยันไว้แบบนี้ อย่าหลงไปเล่นการเมืองยุค 2 G เพราะจำนวน 313 เสียงที่รวมมา เกินครึ่งไปมากแล้ว
ในขณะที่คู่แข่งยังใช้ 2 G อยู่ อำนาจของกระแส 5 G ที่พรรคก้าวไกลใช้อยู่ จะพัฒนาได้ทัน ในอีก 4 ปีข้างหน้าพรรคก้าวไกลจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเสมือน “สึนามิการเมือง” ได้ถึง 300 เสียง จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ไม่ต้องไปยืมจมูกคนอื่นหายใจ
ที่ว่า “พรรคใหญ่กว่าคน ประชาชนใหญ่กว่าพรรค” แต่โซเชียลจะใหญ่ที่สุด พรรคก้าวไกลไม่จำเป็นต้องไปปวดเศียรเวียนเกล้ากับ “MOU” ที่พรรคร่วมติติงว่า เท่ากับเอานโยบายของก้าวไกลไปใส่ไว้
ก้าวไกล คือ ผู้คนและการเดินทาง นี่แค่เริ่มต้น ผู้คนยังต้องเดินทางอีกไกลครับ