ที่อาคารกีฬาเวศน์ 1 ในการปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้าย ของ"พรรคก้าวไกล" ภายใต้ชื่อ "คำตอบสุดท้ายก้าวไกลทั้งแผ่นดิน" มีมวลชนที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลมาร่วมฟังการปราศรัยกันจนแน่นอาคาร กีฬาเวศน์1 ทำให้ต้องปิดประตูตั้งแต่ก่อนเริ่มปราศรัยและให้มวลชนที่เดินทางมาหลัง18.00น.ไปนั่งฟังการปราศรัยที่ สนามฟุตบอลด้านข้างอาคารกีฬาเวศน์ ซึ่งได้เป็นจุดรองรับมวลชนอีกหนึ่งจุด
จากนั้น18.00 น. ช่อ "พรรณิการ์ วานิช" เปิดเวทีปราศรัยด้วยการพูดถึงเหตุผลที่เลือกจัดปราศรัยใหญ่ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ว่า เนื่องจากเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2562 หรือ 4 ปีที่แล้ว พรรคอนาคตใหม่ จึงใช้พื้นที่นี้เป็นเวทีปราศรัยใหญ่โค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง
ก่อนจะเริ่มเขัาสู่คิวปราศรัย คนแรกคือ นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต ส.ส.พรรคก้าวไกล ตามด้วย ช่อ พรรณิการ์ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ที่ปราศรัยช่วงหนึ่งเน้นย้ำถึงการทำการเมืองด้วยความหวัง ที่จะต้องสู้กับการเมืองแห่งความกลัว
ขณะที่ "นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ผู้ช่วยหาเสียงของพรรคปราศรัยช่วงหนึ่ง พูดถึงผลงานของพรรคก้าวไกลที่ทำมาในสภาผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เป็นผลงาตเด่นของพรรค ทั้งเรื่องปัญหายาเสพติด ตั๋วช้าง และยังมีเรื่องกองทัพ
"นายธนาธร" ยังบอกอีกว่า ตนเองอยู่ที่นี่ที่เดิมเหมือนเมื่อ 4 ปีที่แล้ว แต่ปีนี้คนกลับมากกว่าเดิม 4 - 5 เท่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ความคิดของเรา เขาฆ่าไม่ตาย และยังพูดถึง ม.112 ว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นวาระต้องห้ามของสังคมไทย มาวันนี้กลายเป็นประเด็นที่พูดได้อย่างกว้าวขวางและปลอดภัย ซึ่งมองว่า 3ปีที่มีการยุบพรรคอนาคตใหม่ ทำให้เพดานยกขึ้น
พร้อมทั้งยังปราศรัยอีกว่า ในเวลาที่สังคมต้องการผู้นำทางการเมือง หัวหน้าพรรคเราได้แสดงภาวะนั้นให้เห็น และไม่มีหัวหน้าพรรคคนไหนกล้าทำในสิ่งที่"พิธา"ทำ ดังนั้น 14 พ.ค.ขอให้ช่วยกันส่งก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และส่งพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี และนี่คืออนาคตใหม่ คือก้าวไกล นี่คือผู้คนและการเดินทาง
จากนั้น เป็นการปราศรัยของ "นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล" รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ปราศรัยถึงการทำนโยบายของพรรคก้าวไกลว่า ได้รวบรวมปัญหาจากทั่วประเทศมาพัฒนาเป็นนโยบาย รวมถึงชูโยบายรัฐสวัสดิการของพรรค ที่มองว่าจะช่วยลดภาระให้คนทำงาน และเป็นจุดเริ่มต้นที่จะขอเป็นพรรคที่ทำใหม่ และเน้นย้ำการสร้างงาน รวมถึงย้ำใยเรื่อง300นโยบายของพรรคก้าวไกลว่า หากเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จะดำเนินการทันทีและเชื่อว่าจะทำได้อย่างแน่นอน
ส่วน"นายชัยธวัช ตุลาธน" เลขาธิการพรรคก้าวไกล ปราศรัย ระบุว่า เราไม่เคยมีนายกจริงๆ มีแต่ปลัดประเทศ ถามว่าบริหารราชการยังไง บอกแค่ไม่รู้ๆๆ 30 ปีที่แล้วบอกไม่ได้รับรายงาน เมื่อชนะเลือกตั้งไปก็แบ่งเค้ก แต่หลังวิกฤติต้มยำกุ้งเรามี รัฐธรรมนูญ 40 ที่คิดว่าจะเป็นฉบับสุดท้าย ทำให้เกิดพรรคการเมืองน้องใหม่ที่ชนะถล่มทลาย เกิดนายกรัฐมนตรีจริงๆขึ้นมาได้ มีการแข่งขันตามนโยบายได้จริงๆ ส่งมอบนโยบายได้อย่างน่าประทับใจ รัฐบาลในสมัยนั้นจึงได้รับความนิยมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อำนาจของสังคมไทยจึงมาอยู่ที่การเลือกตั้งรัฐสภา ส.ส.และการเลือกตั้ง
แต่เครือข่ายอำนาจเก่าไม่อยากเห็นอำนาจจากการเลือกตั้งเป็นอำนาจสูงสุดเอาจุดอ่อนมาล่มรั,บาล โดยชูตำขวัญว่าเราจะสู้เพื่อในหลวง ละครฉากนี้จบด้วยการรัฐประหารปี 49
เมื่อเปิดให้มีการเลือกตั้งกลุ่มที่โดนรัฐประหารก็ได้กลับมาอีก ทำให้เกิดรัฐประหารซ้ำ โจทย์วันนี้คือตกลงอำนาจสู่สุดของประเทศนี้เป็นของใคร นี่จึงเป็นที่มาของการเมืองแบบอนาคตใหม่ แบบก้าวไกล ที่เราต้องการสร้างพรรคการเมืองผลักดัน ให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนให้ได้ ในอดีตเราจึงไม่เคยเห็นการปฏิรูปกองทัพ เอาใจนายพล การเมืองเก่าเอาชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย แต่ไม่สามารถเอา ชนะความคิดทางสังคมได้ ไม่เคยรักษาอำนาจของประชาชน
"ก้าวไกลเป็นสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง เป็นพรรคที่จะไปแทนที่พลังเก่า เปลี่ยนแปลงสังคมไปด้วยกัน อีก 5 ปี 10 ปีข้างหน้าเราอยู่ในช่วงที่น่าตื่นเต้นที่สุด อยู่ในช่วงสมัยสำคัญแต่หน้าตาของสังคมยุคใหม่ขึ้นอยู่กับพลังกลุ่มไหนจะมีอำนาจ" นายชัยธวัช กล่าว
ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งที่จะชี้ชะตาหน้าตาประเทศในอนาคต ขอให้ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ดีที่สุดไม่ใช่สงครามของใคร ไม่ต้องกลัวทุกคะแนนมีความหมาย แค่กาก้าวไกลถล่มทลายสังคมก็เปลี่ยนแล้ว
ปิดท้ายเวทีปราศรัย ด้วย "นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์" แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล ปราศรัย ระบุว่า พร้อมเป็นนายกคนใหม่ของประเทศ ตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียง 2 วันเท่านั้นขอให้คำตอบสุดท้ายกาก้าวไกลทั้งแผ่นดิน และร่วมกันขีดเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ของไทยให้ไม่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะคุณเป็นเป็นใครสามารถฝากความหวังและความฝันได้
ที่มารวมตัวในวันนี้เพราะเรามีความหวังความฝันเหมือนกัน ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เห็นว่า 4 ปีผ่านไปความฝันของเรายังเข้มข้น และทำให้เราไม่ลืมว่าคนที่เคยจุดไฟในสายลม จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ธนาธร ปิยบุตร พรรณิการ์ เราจะเดินหน้าให้ความฝันเป็นจริง รอวันที่เพื่อนผมกลับมา ทำตามสัญญาเป็นนายกของพวกเราทุกคน
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า ความฝันของพวกเราเรียบง่าย แค่อากาศบริสุทธิ์ไว้หายใจ มีที่ดินของตัวเอง เราฝันว่าจะเห็นประเทศไทยดีขึ้น ขณะที่คนรุ่นใหญ่ของประเทศนี้คงเป็นตอนที่เกษียณรัฐบาลจะดูแลคุณมากกว่าไข่ต้มฟองเดียว ถ้าคุณอยู่ในวัยเดียวกับตนก็หวังว่าจะจบในช่วงเรา
เราต้องการเห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชนเพื่อประชาชน อยากเห็นการกระจายอำนาจ อยากเห็นคนในจังหวัดนั้นได้แก้ไขปัญหาของตัวเองการเลือกผู้ว่าในพื้นที่ของตัวเอง อยากมีการศึกษานอกห้องเรียน ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร
ฉะนั้นคนที่มาแก้ปัญหาต้องพร้อมในการแก้ไขปัญหาเก่าที่ติดหล่มมาตลอด 17 ปี และปัญหาใหม่ในอนาคต ด้วยการยุติวงจรรัฐประหารชั่วนิรันดร์ คืนระบบรัฐสภาให้กับพี่ร้องประชาชนให้ เชื่อว่าระบบรัฐสภาสามารถแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้ การเอาระบบเผด็จการทาไม่มีการตรวจสอบจะทำให้แย่ลง ผู้นำคนต่อไปต้องพร้อมตัดวงจรรัฐประหาร คืนศรัทธาให้สภาไทย
"นายพิธา" ยังกล่าวอีกว่า กรณี "หยก" เยาวชนอายุ 15 ที่ถูกฟ้องมาตรา 112 ว่า ตอนนี้เขากลายเป็นผู้ต้องหามาตรา 112 ที่อายุน้อยที่สุดในประเทศไทย สิ่งที่ตนต้องการพูดในเวทีนี้อย่างมีวุฒิภาวะ อยากให้ตั้งสติ ไม่ได้อยากให้มาตัดสินว่า หยกผิด หรือแก้ไข มาตรา 112 ให้ส่งไปคนเห็นต่างว่าสังคมกำลังตั้งกำแพงหรือสายลมแห่งความเปลี่ยนแปลง สิ่งที่หยกและคนรุ่นใหม่ต้องเผชิญมาจากการเอาประเด็นสถาบันมาโจมตีตลอดเวลา ฉะนั้นนายกรัฐมนตรีและผู้นำคนต่อไปต้องอยู่ภายใต้ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและวางฐานะอย่างเหมาะสม
"ผมพร้อมแล้วที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคนในประเทศ ไม่ว่าท่านจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ผมก็จะเป็นนายกรัฐมนตรีของท่าน ไม่ว่าวันที่ 14 ท่านจะเลือกผมหรือไม่เลือกผม ผมพร้อมจะรับใช้ท่าน และผมจะฟังคนที่เห็นต่างจากผม และจะป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีขึ้นจากการรับฟังความเห็นต่าง เพราะฉะนั้น 14 พ.ค. เข้าคูหา ก้าวไกล ให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม เลือกอนาคตอย่าเลือกดีต เลือกด้วยความหวังไม่ใช่เลือกด้วยความกลัว คำตอบสุดท้าย ก้าวไกลทั้งแผ่นดินพร้อมย้ำจุดยืน มีลุงไม่มีเรามีเราไม่มีลุง”
โดยหลังจากจบเวทีปราศรัยภายในอาคารกีฬาเวศน์1 "นายพิธา" มาพบมวลชนที่มาฟังการปราศรัยที่สนามฟุตบอลด้านข้าง อาคาร กีฬาเวศน์ และทำการปราศรัยสั้นๆอีกครั้ง ก่อนจะปิดเวทีการปราศรัย
ทั้งนี้ช่วงหนึ่งของการปราศรัย มวลชนตะโกน "ส้มรักพ่อ" ทำให้"นายพิธา" ตอบกลับว่า "พ่อก็รักสัม และพ่อก็รักฟ้าด้วย" เรียกเสียงกรี๊ดดังสนั่นอาคารกีฬาเวศน์1ด้วย