20 เมษายน 2566 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เปิดนโยบายพัฒนาอีสานประชารัฐ โดยระบุว่า พรรคมีแนวทางพัฒนาพื้นที่ 20 จังหวัดภาคอีสาน ซึ่งเป็นนโยบายพัฒนาภาคอีสานด้วยรถไฟรางคู่ บึงกาฬ-อู่ตะเภา สอดรับโครงการ eec โดยทางรถไฟจะผ่าน 13 จังหวัดได้แก่ บึงกาฬ อุดรธานี สกลนคร กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ บุรีรัมย์ นครราชสี มาสระแก้ว ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง
และเชื่อมต่อ 11 จังหวัด ได้แก่ หนองคาย ขอนแก่น ชัยภูมิ นครพนม มุกดาหาร อุบลราชธานีอำนาจเจริญ ยโสธร ศรีสะเกษ หนองคายและหนองบัวลำภูระยะทางรวมประมาณ 480 กิโลเมตร โดยจะสร้างเมื่อได้เป็นรัฐบาล
พร้อมกันนี้ยังมีโครงการสร้างทางหลวงพิเศษ 8 ช่องจราจรสร้างนิคมอุตสาหกรรมขนาด 20,000 ไร่ 6 แห่งสร้างวิทยาลัยอาชีวะใกล้นิคม นิคมละ 2 แห่งรวม 12 แห่ง เพื่อเตรียมคนและสร้างท่าเรือบก 3 แห่ง รองรับการขนส่งสินค้าอุตสาหกรรม ดังนั้นขอให้ชาวอีสานเลือกผู้สมัครพลังประชารัฐทั้ง 133 เขต
"พรรคทำเพื่อคนอีสาน โดยเฉพาะเพื่อให้คนอีสานมีงานทำ สร้างงาน สร้างอาชีพ จึงเกิดโครงการนี้ขึ้นมา เพื่อชาวอีสานโดยเฉพาะ ภาคอีสาน 133 เขตเป็น 1 ใน 3 ของประเทศนะครับ" พล.อ.ประวิตร กล่าว
ด้าน นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ที่ผ่านมาบางพรรคมีแต่ขอแลนด์สไลด์ แต่ไม่เห็นพรรคการเมืองใดที่จะพัฒนาภาคอีสาน ให้พ้นจากความยากจน อยู่ดีกินดี นำเทคโนโลยี นำเงินไปลงทุนเพื่อไปพัฒนาภาคอีสาน มีเพียงพรรคพลังประชารัฐ ที่ให้ความสำคัญต่อพี่น้องชาวอีสาน ซึ่งตลอดเวลากว่า 20 ปี ไม่ได้รับการพัฒนาใด ๆ พรรคจึงมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะก่อสร้างทางรถไฟความเร็วรางคู่นี้ เพื่อเปิดโลกให้ชาวอีสาน
นอกจากนี้ ยังมีทางด่วนพิเศษ 8 ช่องจราจรควบคู่มากับทางรถไฟ พร้อมกันนั้นตลอด 480 กิโลเมตร ที่ทางรถไฟวิ่งผ่าน พลังประชารัฐ มีโครงการสร้างนิคมอุตสาหกรรม ด้านละ 3 นิคมอุตสาหกรรม ตลอดแนวทางของรถไฟ และตลอดแนวทางของทางด่วน รวม 6 นิคมอุตสาหกรรม เพื่อเป็นการสร้างงาน และขณะเดียวกันได้เตรียมวิทยาลัยอาชีวะ เพื่อเรียนรู้พัฒนาอาชีพ เพื่อให้ลูกหลานชาวอีสานมีความรู้ความสามารถในเทคโนโลยีต่าง ๆ ให้ทันกับโลกเพื่อป้อนให้กับนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 6 แห่ง
ซึ่งแต่ละแห่งจะมีประมาณ 1,000 โรงงานอุตสาหกรรม รวม 6,000 โรงงาน ซึ่งจะสร้างเม็ดเงิน 4.5 ล้าน ๆ บาท โดยเชื่อว่าคนอีสานจะสามารถลืมตาอ้าปากได้ ขณะเดียวกันจะมีการสร้างท่าเรือบก ที่มีศักยภาพเท่าท่าเรือคลองเตย เพื่อรองรับสินค้า และรถไฟทางคู่ความเร็วประมาณ 100-150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยทั้ง 6 นิคมอุตสาหกรรม จะเปิดให้ทั่วโลกเข้ามาตั้งโรงงานและลงทุนได้ ซึ่งขณะนี้มีจีนและยุโรปให้ความสนใจ
"การพัฒนาภาคอีสานครั้งนี้ได้เชื่อมต่อกับ eec ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออก ซึ่ง eec ของเราพัฒนามาเกือบ 30 ปีแล้ว ขณะนี้มีความเจริญมีความพร้อมเต็มที่ มีทั้งโรงงานตรวจสอบคุณภาพสินค้าต่าง ๆ ที่จะส่งออกต่างประเทศ หากพี่น้องชาวอีสานเลือกผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐ 133 เขต หัวหน้าพรรคยืนยันว่าจะทำจริง ทำทันทีในโครงการอีสาน ซึ่งเป็นความตั้งใจและเป็นความมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนอีสาน ให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง" นายสันติ กล่าว
สำหรับงบประมาณที่จะใช้ทั้งโครงการนั้น พล.อ.ประวิตร ถึงกลับร้องว่า "โอ้โห้ เดี๋ยวเขาคิด ผมก็ยังไม่ได้คิดเหมือนกัน คุณจะคิดได้อย่างไร ด้านนายสันติ กล่าวเสริมว่าใช้เท่าไหร่ บอกเพียงว่านิคมอุตสาหกรรมทั้ง 6 แห่งต้องเวนคืนที่ดิน โดยจะจ่ายค่าเวนคืนให้กับพี่น้องประชาชนเต็มที่ ให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นแม่งานในการดำเนินการ
ส่วนการเริ่มทำโครงการ เมกะโปรเจกต์ (Mega Project) ที่ภาคอีสานก่อนจะทำให้ภาคอื่นน้อยใจหรือไม่นั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เราทำอีสานก่อน ต่อไปจะทำภาคเหนือและภาคใต้ต่อไป ซึ่งโครงการดังกล่าวคิดมาหลายปีแล้ว อย่าเพิ่งไปถามถึงภาคอื่น เอาให้ภาคอีสานเจริญ เพราะ 133 เขต เป็น 1 ใน 3 ของประเทศ พร้อมยอมรับว่าออกโครงการนี้คาดหวังจะได้คะแนนเสียงในภาคอีสานเพิ่มขึ้น เพราะถ้าไม่คิดว่าได้คะแนนเสียงก็คงไม่คิดโครงการนี้
ส่วน นายไพบูลย์ ย้ำว่าโครงการนี้ชื่อโครงการ "อีสานพลังประชารัฐ" โดยมีความตั้งใจจะพัฒนาอีสานให้ลูกหลานของชาวอีสานมีศักยภาพมีความสามารถ และให้คนอีสานก้าวผ่านความยากจน สร้างคนสร้างงานสร้างอาชีพพัฒนาความยากจนเรามั่นใจว่าชาวอีสานก็จะต้องเลือกพรรคพลังประชารัฐทั้ง 133 เขต เพื่อให้พรรคพลังประชารัฐสามารถเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลและอยากได้ 133 เสียงที่พี่น้องชาวอีสานเข้าไปสู่สภาไปยกมือสนับสนุนให้พล.อ.ประวิตร หัวหน้าพรรคเป็นนายกฯ ยืนยันว่าโครงการเหล่านี้ทำจริงทำทันที แต่เราจะต้องมีนายกรัฐมนตรีเป็นคนใช้อำนาจในการผลักดันโครงการดี ๆ อย่างนี้ที่เราจะพัฒนาภาคอีสาน
ขณะเดียวกัน พล.อ.ประวิตร กล่าวยอมรับว่าการขึ้นรถไฟไปปราศรัยที่โคราช ในวันที่ 22 เมษายนนี้ จะไปสำรวจเส้นทางตามโครงการนี้ด้วย