"สูตรรัฐบาล"กลายพันธุ์ ภาพสะท้อนหลังวันรับสมัคร"เลือกตั้งส.ส.แบ่งเขต"

บรรยากาศการ"เลือกตั้ง 66" เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ  นับตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2566  คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เปิดให้มีการรับสมัครรับ"เลือกตั้งส.ส.ระบบเขต" โดยผู้สมัครต่างได้จับสลากได้เบอร์ นำไปหาเสียงกันเป็นที่เรียบร้อย 

"รายการคมชัดลึก" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เนชั่น ดำเนินรายการโดย"วราวิทย์  ฉิมมณี" จึงได้เชิญ "รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก"  อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย มาร่วมกัน ประเมินสถานการณ์หลังวันรับสมัคร"เลือกตั้ง 66" แบบแบ่งเขต 

"รศ.ดร.เจษฎ์" ให้ความเห็นว่า บรรยากาศการลงสมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตทั่วประเทศ ปี2566 มีความคึกคักมากกว่าปี 2562 เพราะมีความหวัง และตัวแปรเยอะขึ้นที่มีความหลากหลาย มากกว่าปี 2562 ที่มีการรวมพลพรรคไว้ที่พรรคพลังประชารัฐ และมีการกีดกันพรรคที่เคยจัดตั้งรัฐบาลแล้วเป็นชนวนเหตุการปฏิวัติรัฐประหารถึง 2 ครั้ง และมีการวางหมากให้ สมาชิกวุฒิสภา เลือกนายกรัฐมนตรี กันเพื่อไทยออกไป และมีการวาง "พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา" เป็นนายกรัฐมนตรี

จากอดีตที่มีความหวังไม่เบ่งบานของระบอบประชาธิปไตย ภายใต้อิทธิพล คสช. แตกต่างจากปีนี้ 2566 เช่น สมาชิกวุฒิสภาอาจไม่ได้เสียง 250 เสียง เพราะมีเสียงแตกออกเป็นส่วนๆ ซึ่งพรรคพลังประชารัฐเมื่อ 3 ป.แตก ทำให้สมาชิกวุฒิสภาเสียงแตกเช่นกัน และมองว่าเพื่อไทยอาจได้คะแนน 310 แต่หากได้จริงจะจับมือกับใคร และจำเป็นต้องจับหรือไม่ ก็ไม่จำเป็น ซึ่งอาจไม่ได้สนใจ ซึ่งนายกรัฐมนตรีคนเดิมอาจกลับบริหารบ้านเมืองก็ได้

"วราวิทย์" ถาม "เพื่อไทย"เกิดแลนด์สไลด์ เพื่อเป็นรัฐบาล เป็นการตีกันที่มากไปหรือไม่
 

"รศ.ดร.เจษฎ์" ตอบว่า ก็แค่ว่าคนที่รักเพื่อไทยและพลังประชารัฐ ต่างมีความเหนียวแน่น เขาเลือกกันแบบไหน ชี้วัวก็เป็นวัว ชี้ควายก็เป็นควาย จะเป็นฝ่ายประชาธิปไตยหรืออนุรักษ์นิยม หากเป็นแฟนเหนียวแน่นก็เลือก ซึ่งสองฝั่งต่างต้องการทอนกำลังลงเป็นวิธิคิดแบบ
สวิงโหวต

แต่ควรจะเก็บรวบรวมสิ่งที่พรรคทำแล้วเป็นประโยชน์บอกกับพี่น้องประชาชน ส่วนใครจะวิเคราะห์หลังเลือกตั้งจะไปจับมือกับใคร เป็นเรื่องของเขา หากเราฟิตซ้อมมาดี แม้จะแพ้ก็เป็นเรื่องของเรา ให้ทำไปเรื่อย ใครจะว่าอะไรเราก็ปล่อยไป ถ้าเป็นแบบนี้จะมีความหนักแน่น มั่นคง แม้จะมีคนเหวี่ยงบ้างก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่แฟนเหนียวแน่น เพราะโพลจำนวนมากบอกว่าฝ่ายค้านจะได้คะแนนรวมกันเกินกึ่งหนึ่ง เป็นเสียงข้างมากในสภาล่าง ส.ว.ก็ต้องปฏิบัติตาม ไม่ต้องมุ่งมั่นแค่แลนด์สไลด์เท่านั้นเพราะแลนด์สไลด์พรรคเดียว 310 อาจไม่ได้จริง

แต่หากรวมกับพันธมิตรเดิมที่เป็นเสรีนิยม เพื่อจับมือกันไม่ทิ้งเพื่อน เพื่อต่อรองในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อต่อรองกับส.ว. เพราะฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้เปรียบมากกว่าไม่จำเป็นต้องต่อรอง หากได้เสียงข้างมาก สภาบนก็ต้องเทคะแนนให้ ซึ่งทำให้พรรคการเมืองอนุรักษ์นิยมต้องเกาะกัน

แต่ก็อาจมีแนวทางสายกลาง เช่นการจับมือกับ เพื่อไทย พลังประชารัฐ ภูมิใจไทย กับพรรคการเมืองอื่น ยกเว้น รวมไทยสร้างชาติ ก้าวไกล และเสรีรวมไทย อาจรวมกันได้ 375 เสียง หรือพลังประชารัฐ กับภูมิใจไทย จับมือกันเหนียวแน่นบนโต๊ะอาหาร ใครได้เสียงมากเป็นนายกรัฐมนตรี ฝั่งทหารก็มีตัวแทนฝั่งทหาร ฝั่งอนุรักษ์นิยมก็มีตัวแทนมาร่วมด้วย ทางฝั่งเสรีนิยมก็มีตัวแทนมาด้วย อาจจะก้าวข้ามความขัดแย้งได้ ซึ่งสูตรนี้เป็นไปได้

เมื่อได้เบอร์พรรคก็หาเสียงแบบนี้ไปจะได้ให้ประชาชนชัดเจน เพื่อเป็นการสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบแบบนี้ คิดหลายสูตรหลายๆแบบจะผสมได้อย่างลงตัวอย่าไปตัดทางบางประเด็น เช่นเพื่อไทยกับก้าวไกลจะจับมือกัน หรือ ก้าวไกลแสดงจุดยืนยกเลิก 112 แบบนี้จะทำให้ ฝ่ายอนุรักษ์นิยมไม่มาจับมือ แต่หันไปกับพรรคเสียงข้างน้อยโดยไม่สนใจว่าจะมีการลงถนนหรือไม่ อย่าไปสร้างเงื่อนไขเล็กน้อย เพราะประเทศชาติบ้านเมือง มี"สูตรแบบปราบเซียน"

"วราวิทย์" ถามว่า มีความเป็นไปได้แค่ไหนที่จะยกเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้ "พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ"  จะเป็นไปได้อย่างไร หากพรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงมากที่สุด
 

"รศ.ดร. เจษฎ์"  ตอบว่า เหมือนการลงทุน เปรียบเทียบเสียงส.ส.ที่ได้เหมือนถือเงินในมือ แม้จะมีมากกว่าแต่ลงทุน พอๆ กับคนที่มีเงินน้อยกว่า "สูตรป้อมและหนู" อาจได้คะแนนเสียงพอๆกัน และ เพื่อไทย จะได้คะแนนเสียง เกินไปกว่าเสียงสนับสนุนของ ส.ว. หากได้ 376 เสถียรภาพสูง ใครทำอะไรไม่ได้ แม้แต่การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากไปได้ไกลถึงแบบนี้ก็เป็นไปได้สูง ดีกว่าเพื่อไทยแม้มีคะแนนมากที่สุด แต่พรรคเดียวก็อาจไปต่อไม่ได้เพราะมีอำนาจพิเศษ

ชมคลิป >>>

จับสัญญาณ  จัดสูตรรัฐบาลปรองดอง