27 กุมภาพันธ์ 2566 นายชวลิต วิชยสุทธิ์ กรรมการยุทธศาสตร์ พรรคไทยสร้างไทย อดีตประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ให้ความเห็นกรณีรัฐบาลส่ง พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวให้สภาพิจารณาให้การรับรอง
ซึ่งนายชวน หลีกภัย ประธานสภา ได้กำหนดวันพิจารณา ในวันที่ 28 ก.พ.66 นั้น “ผมขออนุญาตเรียกร้องให้ ส.ส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน พิจารณาคว่ำ พ.ร.ก.ฉบับนี้ เพื่อให้ พ.ร.บ.อุ้มหาย ซึ่งเป็นกฎหมายที่ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมครั้งสำคัญ มีผลใช้บังคับตามที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อมอบเป็นของขวัญแก่ประชาชนก่อนจะหมดวาระของสภาผู้แทนราษฎร
อยากจะเรียนว่า พ.ร.บ.อุ้มหาย เมื่อครั้งผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ได้รับคำชื่นชมจากทุกภาคส่วน ทั้งจากประชาชนทั่วไป องค์กรทางด้านสิทธิมนุษยชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้แทนองค์การสหประชาชาติหรือ UN ก็ชื่นชมประเทศไทยที่ออกกฎหมายฉบับนี้สอดคล้องกับอนุสัญญาระหว่างประเทศ 2 ฉบับที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคี
ที่กล่าวมาโดยสรุปข้างต้น ล้วนเป็นหน้า เป็นตา เป็นศักดิ์ศรีของประเทศ ที่สำคัญเป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อคุ้มครอง ให้ความเป็นธรรมกับประชาชนในกระบวนการยุติธรรม ในขณะเดียวกันก็คุ้มครอง เจ้าหน้าที่ของรัฐที่สุจริตในการปฏิบัติหน้าที่
ล่าสุด นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนมีข้อความตอนหนึ่งว่า "กฎหมายฉบับนี้เป็นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในรอบ 100 ปี..."
เมื่อมีแต่เสียงชื่นชม ก็ควรให้กฎหมายฉบับนี้ มีผลใช้บังค้บตามที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา การอ้างความไม่พร้อมของ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติมีอุปกรณ์ประจำตัวขณะจับกุม คือ กล้องบันทึกภาพและเสียง ไม่น่าจะเกินความสามารถของหัวหน้าหน่วยแต่ละหน่วย ที่จะบูรณาการทรัพยากรที่มีอยู่มาใช้ในการปฏิบัติภารกิจ
กรณีหาก พ.ร.ก.ต้องตกไป รัฐบาลต้องรับผิดชอบด้วยการลาออกหรือยุบสภา ซึ่งขณะนี้ก็ใกล้จะครบวาระของสภา ชุดนี้อยู่แล้ว คาดการณ์ได้ว่า ถ้าพ.ร.ก.ตกไป รัฐบาลก็คงจะเลือกการยุบสภาอยู่ดี จึงขอเรียกร้องให้สภา มีมติไม่รับ พ.ร.ก.ฉบับนี้มอบเป็นของขวัญแก่ประชาชนก่อนครบวาระ 4 ปีของสภาชุดนี้