svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ORIGINAL

‘Hybrid Warfare’ สงครามรูปแบบใหม่ จากความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน

ความขัดแย้งระหว่างแดนหมีขาวรัสเซีย กับยูเครน นับวันยิ่งทวีความตึงเครียดมากขึ้น จนหวั่นกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 แต่รู้หรือไม่ว่าการทำสงครามในโลกยุคใหม่ อาวุธและกำลังรบไม่ใช่สิ่งที่สามารถนำไปใช้กดดันฝ่ายตรงข้ามได้อีกต่อไป!

          ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน อันมีชนวนจากการแย่งชิงอำนาจเชิงยุทธศาสตร์ และข้อพิพาทเรื่องพรมแดน กำลังถูกประเมินว่าความขัดแย้งนี้อาจนำไปสู่สงครามเต็มรูปแบบ

 

          แม้รัสเซียจะเริ่มเคลื่อนกำลังพลประชิดพรมแดนยูเครน ขนทหารนับแสนนายสร้างแรงกดดัน แต่รู้หรือไม่ว่ายุทธวิถีดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของ “Hybrid Warfare” หรือ สงครามลูกผสม ที่เป็นรูปแบบการรบของโลกยุคใหม่ ที่กำลังทางทหารเปรียบเสมือนยอดภูเขาน้ำแข็ง และเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือที่จะใช้กดดันฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น 
ภูมิประเทศ การเมือง และประวัติศาสตร์ สู่ปมความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ภูมิประเทศ การเมือง และประวัติศาสตร์ สู่ปมความขัดแย้ง
          ก่อนจะพูดถึงเรื่องสงครามในรูปแบบใหม่ที่อาจเกิดขึ้น คงต้องเท้าความถึงประเด็นความขัดแย้งของสองชาติที่มีมาเนิ่นนานตั้งแต่ครั้งอดีตกาลก่อนว่ามีปัจจัยมากมายที่ส่งผลต่อความขัดแย้ง

 

          หนึ่งคือเรื่องสภาพภูมิประเทศของยูเครน ยูเครนเป็นประเทศที่ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างรัสเซียกับประเทศอื่นๆในยุโรป มีสถานะไม่ต่างจากเป็นกันชนระหว่างรัสเซียกับชาติยุโรป

 

          ขณะที่ในทางประวัติศาสตร์เอง ยูเครนก็เคยเป็นหนึ่งในจักรวรรดิรัสเซีย (ซึ่งต่อมาคือสหภาพโซเวียต) โดยหลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลาย ยูเครนเองก็ได้รับเอกราช แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีกลุ่มคนรัสเซียจำนวนไม่น้อยที่ยังอาศัยอยู่ในยูเครน
ประธานาธิบดีวิกเตอร์ ยานูโควิช และ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน           ในส่วนปัจจัยทางด้านการเมือง จุดเปลี่ยนของยูเครนเริ่มขึ้นในปี 2014 เมื่อเกิดการประท้วงใหญ่หรือที่เรียกกันว่า “การปฎิวัติยูเครน” เหตุการณ์ในวันนั้นชาวยูเครนนับแสนรายได้ออกมาประท้วงขับไล่ ‘ประธานาธิบดีวิกเตอร์ ยานูโควิช’ ที่มีท่าทีสนับสนุนรัสเซียมากเกินไป ซึ่งระหว่างการประท้วงรัสเซียก็ให้การสนับสนุนยานูโควิชอย่างเต็มกำลัง ในขณะที่สหรัฐและยุโรปเลือกฝั่งสนับสนุนผู้ประท้วง

          จากแรงโหมกระหน่ำของการประท้วง รัฐสภายูเครนจึงถอดถอนประธานาธิบดียานูโควิชออกจากตำแหน่งในทันที การหลบหนีออกจากประเทศของประธานาธิบดียานูโควิชจึงได้เริ่มต้นขึ้น เปรียบเสมือนการเติมเชื้อไฟให้การเมืองยิ่งโหมแรง

 

          ทางด้านรัสเซียเองก็ไม่น้อยหน้าโต้ตอบด้วยการกินรวบคาบสมุทรไครเมีย (ชาวไครเมียตัดสินใจอยู่ฝั่งเดียวกับรัสเซีย) อันเป็นเขตปกครองตนเองของยูเครน แถมยังคอยหนุนหลังการเคลื่อนไหวของกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนทางตะวันออกของยูเครนด้วยเช่นกัน ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ความตึงเครียดด้านชาติพันธุ์ยิ่งรุนแรงขึ้น
ยูเครนต้องการเข้าร่วมเป็นหนึ่งในพันธมิตรของนาโต้

บทบาทของนาโต้ กับความขัดแย้ง รัสเซีย-ยูเครน
          หนึ่งในเรื่องสำคัญที่สุดด้านความมั่นคงของรัสเซียนับตั้งแต่ สหภาพโซเวียตล่มสลายในปี 1991 คือความพยายามสกัดกั้นนาโต้ไม่ให้รุกขยายอิทธิพลเพิ่มเติมเข้ามาในเขตยุโรปตะวันออก แต่ก็เหมือนโชคไม่เคยจะอำนวยเมื่อประเทศแถบยุโรปตะวันออกล้วนดาหน้าหันมาจับมือเข้าร่วมกับนาโต้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งตอนนี้ที่นาโตเริ่มรุกคืบมาเคาะประตูยูเครนถึงหน้าบ้าน ที่มีพรมแดนติดต่อกับรัสเซีย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่แดนหมีขาว ยอมไม่ได้เป็นอันขาด!

 

          แม้ยูเครนจะยังไม่ได้รับสถานะเป็นหนึ่งในสมาชิกของนาโต้ แต่ความต้องการของยูเครนนั้น หัวเด็ดตีนขาดก็ต้องเข้าร่วมให้ได้ ซึ่งในขณะนี้ยูเครนได้ถูกยกเข้าพิจารณาในฐานะหุ้นส่วนพันธมิตรของนาโต้แล้ว แต่การพิจารณาว่าจะได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งหรือไม่นั้น นาโต้อ้างว่า รัฐบาลยูเครนต้องขุดทั้งรากถอนทั้งโคนระบบทุจริตคอร์รัปชั่นในประเทศให้สิ้นซากก่อน

          ทางปูตินนั้นย่อมรู้ดีว่า หากยังนิ่งนอนใจไม่ทำอะไรเลย เมื่อยูเครนผันตัวเป็นสมาชิกของนาโต้เต็มตัวแล้ว ความมั่นคงของรัสเซียนั้นต้องสั่นคลอนอย่างแน่นอน ท่าทีของรัสเซียจึงมีความพยายามมสกัดกั้นเรียกร้องให้นาโต้ปฎิเสธการรับยูเครนเป็นหนึ่งในสมาชิกมาโดยตลอด

 

          ท่ามกลางกระแสความขัดแย้งเรื้อรังที่ทวีความตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ  ล่าสุดรัฐบาลรัสเซียได้ส่งทหารประชิดชายแดนยูเครนร่วมแสนนาย โดยอ้างว่าเพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ พร้อมยังอ้างกล่าวโทษประณามนาโต้ว่าเป็นตัวบ่อนทำลายความมั่นคงในภูมิภาค

 

          โดยสถานการณ์ใกล้พรมแดนล่าสุดของกองทัพทหารรัสเซีย ขยายไปถึงการเตรียมอุปกรณ์การแพทย์ เตรียมเลือดสำรอง และอุปกรณ์อื่นๆสำหรับการรักษาคนเจ็บ ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งชี้เป็นอย่างดีว่ากองทัพรัสเซียพร้อมจู่โจมขนาดไหน อาจจะรอแค่สัญญาณไฟเขียวจากประธานาธิบดีปูตินหรือไม่?

 

รู้จักกับ ‘Hybrid Warfare’ สงครามของโลกยุคใหม่
          ทางด้านผู้เชี่ยวชาญมีการวิเคราะห์กันออกมาบ้างว่าสงครามของโลกยุคใหม่จะไม่ใช่การห้ำหั่นกันด้วยอาวุธสงคราม หรือกำลังรบอีกต่อไป แต่จะเป็นลักษณะของการสร้างความกดดันจากภายนอกเข้าสู่ภายใน การกดดันทางไซเบอร์ที่ไม่เสียหายต่อชีวิตแต่สร้างความระส่ำต่อเศรษฐกิจได้ รวมถึงการรบกันทางข้อมูลข่าวสารที่เป็นปัจจัยในการสร้างมติมหาชนได้ (Public Opinion)  

 

          การรบกันในรูปแบบนี้ถูกเรียกว่า “Hybrid War” เป็น ภัยคุกคามความมั่นคงแบบใหม่ที่หลายประเทศ หลายภูมิภาคกำลังเผชิญ เป็นสงครามในรูปแบบการหยิบประเด็นสิทธิของประชาชน เศรษฐกิจ การถ่วงดุลอำนาจ มาเป็นตัวประกันเพื่อกดดันกันต่อไปเรื่อย ๆ

 

          ซึ่งจุดสำคัญของสงครามในรูปแบบนี้อยู่ที่ว่า ประเทศไหนจะสามารถตั้งรับแรงกดดัน กู้ภาพลักษณ์ประเทศ และดึงแรงสนับสนุนจากประชาคมโลกได้มากกว่ากัน ซึ่งตัวอย่างของ Hybrid Warfare ที่เคยเกิดขึ้นแล้วเห็นได้อย่างชัดเจนคือเหตุการณ์ที่ชายแดนโปแลนด์-เบลารุส ช่วงปลายปี 2021 ที่ผ่านมา

 

          การเปลี่ยนแปลงการรบให้ออกมาเป็นรูปแบบนี้ชี้ให้เห็นว่า สงครามไม่ได้ดำเนินเพียงแค่รูปแบบเดียว แต่สามารถเกิดการผสมผสานด้วยการนำเครื่องมือใหม่ๆ ที่เป็นผลจากการเทคโนโลยีเข้ามาใช้ร่วมเสริมอำนาจในการรบได้ด้วย

ประธานาธิบดี ‘วลาดิเมียร์ ปูติน’ ปมความขัดแย้งที่เอเชียอาจได้รับผลกระทบ
          ผลกระทบต่อเอเชียอาจส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อม และไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ยูเครนเป็นที่รู้จักในฐานะอู่ข้าวอู่น้ำของยุโรปมานานหลายศตวรรษ และเป็นประเทศที่ส่งออกธัญพืชเป็นอันดับต้นๆของโลกที่มีความสำคัญต่อแอฟริกาและเอเชีย ทางด้านจีนและประเทศที่กำลังพัฒนาก็ถือเป็นลูกค้ารายสำคัญของยูเครนด้วยเช่นกัน

 

          หากสงครามเกิดขึ้นจริง พื้นที่เกษตรจะถูกแทนที่ด้วยเขตสู้รบที่จะกระทบต่อตลาดธัญพืชโลก ส่งผลให้ราคาอาหารทั่วโลกและสินค้าโภคภัณฑ์ดันตัวสูงขึ้น สภาวะเงินเฟ้อวิกฤตหนักขึ้นจากเดิมที่กระทบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว 

 

          ความตึงเครียดของทั้ง 2 ชาติจะยิ่งดันราคาพลังงานโลกให้เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ ทางด้านรัสเซียเองที่เป็นเจ้าแห่งพลังงาน หากกินรวบยูเครนสำเร็จ พลังงานทั่วทั้งยุโรปและสหรัฐจะดีดตัวสูงขึ้น ส่วนยูเครนก็เป็นเส้นทางหลักที่ต้องลำเลียงก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียไปสู่ยุโรป หลายฝ่ายจึงเกิดความกังวลว่า หากสหรัฐฯคว่ำบาตรต่อแหล่งพลังงานรัสเซียจะสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานพลังงานของยุโรป ผลจากความคุกรุ่นในครั้งนี้อาจยากที่จะประเมิน แต่แน่นอนว่าผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นย่อมกระทบเรามากกว่าที่คิด

--------------------
อ้างอิง