svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ORIGINAL

Anti vaxxer รวมเรื่องเพ้อเจ้อที่กลายเป็นปัญหาระดับโลก

19 มกราคม 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

Anti vaxxer คือกลุ่มคนที่กลายเป็นประเด็นสนทนาร้อนแรงในช่วงหลัง นับจากคิดค้นวัคซีนได้สำเร็จและเริ่มปูพรมฉีดให้ประชากรเป็นต้นมาก็ถูกพูดถึงบ่อยครั้ง จากการเดินขบวนประท้วงการฉีดวัคซีนโควิด วันนี้เราจึงพาไปทำความเข้าใจว่าอะไรทำให้พวกเขาคิดเช่นนั้น

Highlights

  • Anti vaxxer คือกลุ่มผู้ต่อต้านการฉีดวัคซีน ไม่ยอมรับการฉีดวัคซีนเข้าสู่ร่างกายในทุกกรณี เป็นชุดความเชื่อผิดๆ ที่แพร่ระบาดเข้าไปในสังคมทุกชนชั้น โดยไม่เกี่ยวกับทั้งฐานะหรือหน้าตาทางสังคม
  • แนวคิดดังกล่าวเกิดขึ้นมานานหลายร้อยปี นับแต่สมัยเริ่มต้นคิดค้นวัคซีนไข้ทรพิษขึ้นมาสำเร็จเป็นครั้งแรก กับกระแสต่อต้านวัคซีนที่เพาะเชื้อจากวัวมาสู่คน จากแนวคิดทางศาสนาที่ไม่เห็นด้วยในแนวทางนี้
  • ชุดความคิดดังกล่าวถูกเผยแพร่ไปในสหรัฐฯเป็นวงกว้าง ขยายตัวก้าวกระโดดจนเกินการควบคุมจนเกิดเป็นองค์กรต่อต้านมากมาย กลายเป็นความเชื่อฝังหัวผู้คนยาวนานนับร้อยปี
  • ทุกอย่างยิ่งเลวร้ายเมื่อรายการสารคดี DTP: Vaccine Roulette ออกเผยแพร่ในปี 1982 รวมถึงบทความวิชาการของนายแพทย์ Andrew Wakefield ที่เป็นหมุดหมายสำคัญของชาว Anti vaxxer
  • แนวคิดนี้ทำให้อุดมคติในการป้องกันโรคอย่าง Herd Immunity หรือภูมิคุ้มกันหมู่ไม่เกิดขึ้น โรคหลายชนิดที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีนกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง เช่น หัด อีสุกอีใส
  • เรื่องยิ่งทวีความซับซ้อนเมื่อเกิดขึ้นในสถานการณ์โควิด กลายเป็นความขัดแย้งที่รัฐต้องทำทุกวิถีทางเพื่อบีบบังคับคนกลุ่มนี้ จนเกิดความพยายามหลีกเลี่ยงทุกวิถีทางจาก Anti vaxxer เช่นกัน

--------------------
          Anti vaxxer เป็นกลุ่มคนต่อต้านการฉีดวัคซีน ทั้งต่อตัวเองและลูกหลานภายในความดูแลทั้งหมดไม่ให้ฉีดวัคซีน ถือเป็นชุดความเชื่อฝังหัวของผู้คนจำนวนมากในหลายประเทศ จากการผสมปนเปของแนวคิดความคิดอันหลากหลาย แต่โดยสรุปคือพวกเขาไม่เห็นว่าการฉีดวัคซีนคือเรื่องจำเป็นอีกทั้งอาจทำให้พวกเขาได้รับอันตราย

แนวคิดชุดนี้ผลิบานฝังหัวผู้คนจำนวนมาก โดยไม่เกี่ยวว่าคนเหล่านั้นจะมีระดับการศึกษา สถานะทางสังคม หรือฐานะทางการเงินเช่นไร เป็นชุดความคิดที่แฝงตัวเข้าไปในทุกชนชั้นและกลุ่มคน แพร่กระจายมายาวนานไม่เว้นกระทั่งในกลุ่มของเจ้าหน้าที่การแพทย์เอง ที่บางส่วนไม่ยอมรับการฉีดวัคซีนทุกชนิดเข้าสู่ร่างกาย

 

สำหรับในประเทศไทยฟังดูเป็นเรื่องชวนฉงนในเมื่อวัคซีนคือสิ่งรักษาชีวิต ช่วยให้เราไม่เกิดอาการเจ็บป่วยล้มตาย อีกทั้งต้นตอของวัคซีนคือแนวคิดที่เกิดจากชาติตะวันตกด้วยกัน เหตุใดพวกเขาจึงไม่เชื่อในวิทยาศาสตร์และการแพทย์ของตัวเอง ปฏิเสธทุกข้อมูลที่ยืนยันว่าวัคซีนเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิตแบบนี้กัน?
เอ็ดเวิร์ด เจ็นเนอร์ ผู้คิดค้นวัคซีนตัวแรกขึ้นบนโลก

จุดเริ่มต้นของสิ่งที่เรียกว่าวัคซีน และการถือกำเนิดของ Anti vaxxer
          เดิมทีวัคซีนชนิดแรกที่ถูกคิดค้นขึ้นมาคือ วัคซีนป้องกันไข้ทรพิษ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ฝีดาษ หนึ่งในโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนเป็นจำนวนมากในอดีต และต่อให้รักษาหายก็มักทิ้งรอยแผลเป็นมากมายแก่ผู้ป่วยไปชั่วชีวิต ทำให้ในอดีตนี่คือโรคระบาดร้ายแรงเป็นที่หวาดกลัวของผู้คนเป็นจำนวนมาก

 

          จนกระทั่งนายแพทย์ เอ็ดเวิร์ด เจ็นเนอร์ ค้นพบในปี 1796 ว่า หญิงสาวที่ทำงานในฟาร์มวัว มีการติดเชื้อฝีดาษวัวแต่กลับมีอาการไม่ร้ายแรงนัก กลายเป็นแนวคิดในการเพาะเชื้อแล้วนำมาทำให้เจือจาง จากนั้นจึงเริ่มการฉีดเชื้อที่ได้มาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติเป็นที่มาของวัคซีนตัวแรกของโลก หรือที่เราต่างรู้จักกันในชื่อ การปลูกฝี

          วัคซีนฝีดาษช่วยลดจำนวนคนป่วยและผู้ติดเชื้อให้ลดลงอย่างรวดเร็ว ไม่ช้ามันจึงแพร่หลายถูกกระจายออกไปเป็นวงกว้างเมื่อได้รับการพิสูจน์ แต่ก็มาพร้อมข้อโต้แย้งทั่วสารทิศ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เชื่อถือการนำเชื้อโรคที่เพาะจากวัวมาฉีดเข้าสู่ร่างกายว่าจะช่วยชีวิตตนได้ จนเกิดเป็นกระแสต่อต้านวงกว้างจากบรรดาชาติตะวันตกเอง

 

          แนวคิดการต่อต้านวัคซีนมาจากความรู้สึกไม่ปลอดภัยต่อยาสมัยใหม่ โดยเฉพาะแนวคิดทางศาสนาที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่า หากรับสารพวกนี้เข้ามาในร่างกายจะทำให้พวกเขาไม่ใช่ชาวคริสต์ที่ดี บางส่วนก็กังวลในด้านสุขอนามัยจากการฉีดเชื้อโรคจากสัตว์เข้าสู่ร่างกาย ทั้งสองกลุ่มจึงเกิดความรู้สึกต่อต้านการฉีดวัคซีน โดยเฉพาะเมื่อมีความพยายามร่างกฎหมายบังคับให้ประชาชนเข้ารับวัคซีนในอังกฤษ

 

          เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ความไม่พอใจลุกลาม เกิดการต่อต้านกฎหมายฉบับนี้เป็นวงกว้างโดยเฉพาะ เมืองเลสเตอร์ ที่มีการตีพิมพ์บทความเผยแพร่ความเข้าใจผิด ชักนำกลุ่มผู้ประท้วงให้มีจำนวนนับ 100,000 คน จนรัฐบาลในขณะนั้นต้องออกมาศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความปลอดภัย รวมถึงยอมผ่อนปรนบทลงโทษแก่ผู้ไม่ยอมรับวัคซีนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์

ภาพการ์ตูนโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่ม Anti vaxxer ความรุ่งเรืองของ Anti vaxxer งานวิจัยสนับสนุนในสหรัฐฯ
          ความรู้สึกต่อต้านวัตซีนในอังกฤษลุกลามเป็นวงกว้างเมื่อมาถึงแผ่นดินสหรัฐฯ มีการจัดตั้งองค์กร The Anti Vaccination Society of America ในปี 1879, The New England Anti Compulsory Vaccination League ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 1882 และ The Anti-vaccination League of New York City ในปี 1884 เรียกได้ว่าแนวคิดขยายตัวอย่างกว้างขวาง

 

          การเติบโตดังกล่าวได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากมหาเศรษฐี ทำให้พวกเขามีงบประมาณถ่ายทอดแนวคิดนี้อย่างต่อเนื่อง เกิดการตั้งเวทีปราศรัย พิมพ์แผ่นพับ หนังสือพิมพ์ ไปจนถึงบทความ ด้วยปลายปากกาของนักเคลื่อนไหวทางสังคมและนักข่าวในยุคนั้น จนแนวคิดต่อต้านวัคซีนฝังลึกเข้าไปในความคิดชาวอเมริกันเงียบๆ

 

          พวกเขาเชื่อว่าวัคซีนไม่ได้จำเป็นรวมถึงไม่สามารถป้องกันโรคได้ อีกทั้งเป็นอันตรายเมื่อถูกฉีดเข้ามาในร่างกาย กล่าวหาว่านี่เป็นการเก็บงำความจริงของภาครัฐและวงการแพทย์ บางส่วนก็กล่าวอ้างว่าการบังคับทุกคนให้ฉีดวัคซีนเป็นการละเมิดสิทธิเหนือร่างกายของเขา จนเกิดฟ้องร้องใหญ่โตไปถึงศาลฎีกาสูงสุดแห่งสหรัฐฯเลยทีเดียว

 

          แน่นอนทางฝั่งรัฐบาลไม่มีทางเห็นด้วยกับแนวคิดของคนกลุ่มนี้ บางรัฐมีการออกกฎหมายบังคับให้ประชาชนฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่องแต่สามารถทำให้มีผลบังคับใช้จริงได้เพียงครึ่งเดียว ภาครัฐไม่สามารถหาทางแก้ไขความเชื่อผิดๆ เหล่านี้ได้อย่างจริงจัง บ่มเพาะฝังรากลึกคู่มายาวนานนับ 100 ปี

 

          จนมาถึงปี 1982 จากรายการสารคดี DTP: Vaccine Roulette ออกอากาศในสหรัฐฯ ที่หยิบยกวัคซีนคอตีบ วัคซีนไอกรน และวัคซีนบาดทะยัก ทั้ง 3 ชนิดมาตีแผ่ข้อมูลแบบผิดๆ โดยการนำเสนอข้อมูลเรื่องอาการผิดปกติจากเด็กที่ได้รับวัคซีนเหล่านี้ กล่าวอ้างว่าที่ผ่านมาการรับวัคซีนเป็นการตกลงกันระหว่างรัฐบาลกับบริษัทยา หลอกใช้ชาวอเมริกันรับยาที่ไม่จำเป็นเข้าสู่ร่างกาย เพื่อสร้างกำไรโดยไม่สนว่าอาจเกิดผลเสียต่อประชาชนเป็นวงกว้าง เป็นข้อมูลที่รัฐบาลพยายามปกปิดเสมอมา

 

          ด้วยคุณภาพในการเรียบเรียงถ่ายทำสารคดีดังกล่าวจึงได้การตอบรับและเสียงชื่นชมมากมาย กระแสความร้อนแรงผลักดันให้สารคดีชุดนี้ได้รับรางวัล Emmy Award (รางวัลเทียบเท่าออสการ์ฝั่งรายการโทรทัศน์) ยิ่งจุดกระแสของแนวคิดต่อต้านวัคซีนให้ลุกโชน ผู้คนพากันยกตัวอย่างพูดถึงสารคดีนี้หนาหู ท่ามกลางความปวดหัวของบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องคอยแก้ไขความเข้าใจผิด

 

          นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอีกฉบับที่ตีพิมพ์ในปี 1998 ถูกหยิบมากล่าวอ้างเป็นจำนวนมากในกลุ่ม Anti vaxxer นั่นคือ บทความวิจัยในวารสาร The Lancet ของนายแพทย์ Andrew Wakefield ระบุว่าวัคซีนจำเป็นสามชนิดที่ใช้ป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน ที่ฉีดให้เด็กอายุ 12-15 เดือนนั้น เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะออทิสติกในเด็ก

 

          แน่นอนเนื้อหาในงานวิจัยดังกล่าวไม่ใช่ความจริง หลังการเผยแพร่มีการพิสูจน์เนื้อหาจากบทความนี้อย่างดุเดือด นั่นทำให้แพทย์ผู้เขียนบทความนี้ถูกถอดใบประกอบวิชาชีพ เช่นเดียวกับบทความจากวารสาร แต่นั่นก็สายเกินสำหรับการยับยั้งการแพร่ระบาดความหวาดกลัว กลายเป็นอีกหลักฐานที่กลุ่มต่อต้านวัคซีนหยิบมาพูดถึงอยู่เสมอไปแล้ว

 

          นี่เองเป็นสาเหตุให้กลุ่มนี้เฟื่องฟูรุ่งเรืองมากขึ้นในสหรัฐฯ รวมถึงแพร่ระบาดกลับไปในยุโรปจากแนวความคิดสุดโต่ง  กลายเป็นปัญหาทางสาธารณสุขแก่นานาประเทศที่มีคนกลุ่มนี้เป็นจำนวนมาก เนื่องจากพวกเขาไม่รู้เลยว่าโรคระบาดที่สมควรจะสูญพันธุ์จะกลับมาคุกคามประชาชนกันวันไหน

แผนภาพแพร่ระบาดของโรคหัดประเทศสหรัฐฯในปี 2014 ความอันตรายของ Anti vaxxer กับเป้าหมายการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่
          หนึ่งในสิ่งที่กลุ่ม Anti vaxxer นำมาเรียกร้องนอกจากสารคดีและงานวิจัยเท็จดังที่กล่าวไป อีกส่วนที่ถูกพูดถึงเป็นประจำคงเป็นความเชื่อทางศาสนา สิทธิเสรีภาพในร่างกายจากการเลือกของบุคคล สองเหตุผลที่ถูกหยิบมาเป็นประเด็นข้อเรียกร้องในการต่อต้านวัคซีนอยู่เสมอ

 

          อันที่จริงคงไม่มีใครว่าถ้าการฉีดวัคซีนส่งผลกระทบกับแค่เจ้าตัว ปัญหาคือการปฏิเสธรับวัคซีนไม่ได้ส่งผลกระทบแค่คนเดียวแต่ส่งผลไปถึงลูกหลานร่วมสายเลือด ทำให้เด็กกลุ่มนี้ถูกปลูกฝังมาให้รังเกียจวัคซีนเผยแพร่แนวคิดนี้ต่อไป อีกทั้งทำให้เด็กรุ่นใหม่หรือคนที่เกิดมา ไม่มีโอกาสได้รับวัคซีนป้องกันโรคซึ่งอาจช่วยรักษาชีวิตพวกเขาได้ในอนาคต

 

          นั่นทำให้เมื่อมีการเจ็บป่วยขึ้นมาภาระย่อมตกอยู่ภายใต้ระบบสาธารณสุขต้องมารับมือ หาทางจัดการโรคระบาดร้ายแรงบางชนิดที่มีวิธีแก้ปัญหาง่ายๆ คือวัคซีนไม่กี่เข็ม สร้างความลำบากในการรับมือทั้งระบบ อีกทั้งเพิ่มความเสี่ยงแพร่ระบาดโรคร้ายแรงต่อผู้อื่น

 

          นอกจากนั้นหากคนกลุ่ม Anti vaxxer มีจำนวนมากเกิน เป้าหมายสูงสุดในการฉีดวัคซีน Herd Immunity หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ภูมิคุ้นกันหมู่ จะไม่เกิดขึ้น ถึงจุดนั้นไม่ใช่เพียงแค่คนไม่ฉีดวัคซีน แต่อาจทำให้ทั้งชุมชนตกอยู่ในความเสี่ยงของการแพร่ระบาดจนเชื้อกระจายเป็นวงกว้าง อาจทำให้โรคดังกล่าวเกิดการกลายพันธุ์เป็นเชื้อสายพันธุ์ใหม่ในที่สุด

 

          นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแต่เคยเกิดขึ้นจริงอย่างในปี 2014 การระบาดของโรคหัดใน ดิสนีย์แลนด์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เกิดผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนถึง 125 คน สาเหตุหลักจากผู้ติดเชื้อราวครึ่งหนึ่งเป็นกลุ่ม Anti vaxxer ที่ไม่ยอมรับวัคซีนโรคหัด ส่งผลให้เกิดการแพร่ระบาดสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง

 

          อีกกรณีคือการระบาดของโรคอีสุกอีใสระบาดภายในรัฐนอร์ทแคโรไลนา ถือเป็นการระบาดร้ายแรงในรอบ 20 ปี จากการที่เด็กจำนวนมากภายในรัฐนี้ไม่เคยได้รับวัคซีน ด้วยมีประชากรจำนวนมากในรัฐนี้เห็นด้วยกับกลุ่ม Anti vaxxer เด็กในหลายครอบครัวจึงกลายเป็นเป้าการแพร่ระบาดชั้นดี ส่งผลให้เกิดเรื่องร้ายแรงในที่สุด

การเดินขบวนและประท้วงของ Anti vaxxer ในสหรัฐฯปัจจุบัน ปัญหาเรื้อรังสู่ปัจจุบันของ Anti vaxxer กับเรื่องหลุดโลกมากมายที่มีคนเชื่อถือ
          ทุกอย่างกลับมาขมวดและระเบิดออกมาเมื่อมีการแพร่ระบาดของโควิด หลังผ่านช่วงเวลาระบาดใหญ่จนสามารถคิดค้นวัคซีนได้สำเร็จ ขั้นตอนการฉีดนี้เองที่กลุ่ม Anti vaxxer กลายเป็นปัญหา เมื่อพวกเขาไม่ยอมรับการฉีดวัคซีนโควิดจากสารพัดเหตุผล ทั้งจากความปลอดภัยของตัววัคซีนเอง ความไม่แน่ใจในคุณภาพวัคซีน จนถึงการกุข่าวโคมลอยขึ้นมากมาย

 

          กลุ่ม Anti vaxxer บางส่วนมีความเชื่อว่าการฉีดวัคซีนโควิดจะทำให้พวกเขาสูญพันธุ์ โควิด-19 คือเรื่องแหกตารัฐบาลทั่วโลกร่วมกันกุข่าวเพื่อให้คนยอมฉีดวัคซีน แท้จริงมันคือไมโครชิปขนาดเล็กเพื่อควบคุมผู้คน ล้างสมองประชากรให้ยอมทำตามคำสั่งรัฐบาล ทำให้สั่งฆ่าผู้ได้รับวัคซีนเมื่อไหร่ก็ได้

 

          บางส่วนกล่าวอ้างข้อมูลจากภาพยนตร์ I am legend(2007) ว่าวัคซีนที่ฉีดจะเปลี่ยนคนให้กลายเป็นซอมบี้ เป็นแผนลดจำนวนประชากรของรัฐบาลที่สุดท้ายจะทำให้โลกล่มสลาย ร้อนถึงผู้กำกับและผู้เขียนบทภาพยนตร์ต้องออกมาปฏิเสธทางทวิตเตอร์ว่า เรื่องที่พวกเขาเขียนนั่นแค่แต่งขึ้นมา ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความเป็นจริงทั้งสิ้น

 

          คนบางกลุ่มไม่แน่ใจในคุณภาพวัคซีนที่ถูกประกาศให้ใช้งานในสถานการณ์ฉุกเฉิน พวกเขาหวั่นใจในคุณภาพของเวชภัณฑ์จนไม่อยากรับวัคซีนเข้ามาในร่างกาย ซึ่งจุดนี้ได้รับข้อโต้แย้งทางการแพทย์ว่า โอกาสเกิดผลข้างเคียงร้ายแรงจากวัคซีนเป็นจำนวนน้อยมาก ความเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นมีแค่หลักหน่วยจากแสนคน ซึ่งน้อยกว่าโอกาสตายจากการติดเชื้อโควิดหลายพันเท่า การรับวัคซีนจึงถือว่าคุ้มค่าและมีความปลอดภัยมากกว่า

 

          บางส่วนอาศัยความเชื่อทางศาสนาโดยบอกว่า พวกเขาเชื่อในภูมิคุ้มกันที่ได้รับมาจากพระเจ้า หากว่าล้มป่วยหรือตายไปคือความประสงค์ของพระเจ้า และไม่ยอมรับยาที่ส่งผลกระทบต่อภูมิคุ้มกัน บางส่วนก็ต่อต้านผลิตภัณฑ์ปรุงแต่งที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติ พวกเขาจึงไม่ยอมรับการฉีดวัคซีนจากภาครัฐ

 

          เรื่องยิ่งซับซ้อนไปกว่านั้นเมื่อรัฐบาลหลายประเทศหมดความอดทน สารพัดมาตรการออกมาจากหลายประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ที่ขู่จับกุมผู้ไม่ได้รับวีคซีนที่ออกนอกบ้าน, ออสเตรียสั่งห้ามคนไม่ฉีดวัคซีนออกนอกบ้าน ไปจนถึงการปรับเงินผู้ไม่ยอมฉีดวัคซีนของกรีซ ทั้งหมดล้วนเป็นมาตรการเพื่อต่อต้านคนกลุ่มนี้ให้ยอมออกมาฉีดวัคซีน

 

          นำไปสู่ความพยายามมากมายในการหลีกเลี่ยงฉีดวัคซีนแต่ได้ใบยืนยันการฉีด เช่น การปลอมใบรับรองฉีดวัคซีนในหลายประเทศ การฉีดวัคซีนลมแล้วนำยาไปทิ้งเพื่อหารายได้ของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ในอิตาลี การใส่แขนปลอมเพื่อเข้ารับการฉีดวัคซีนแทนแขนจริง รับจ้างฉีดวัคซีนแทนในอินโดนีเซียและนิวซีแลนด์ จนถึงการใช้สารบอแรกซ์อาบทั่วร่างเพื่อขับวัคซีนออกหลังได้รับการฉีด(ซึ่งทำไม่ได้)

 

          ปัจจุบันประเด็นปัญหาจาก Anti vaxxer ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ในประเทศไทยยังเกิดการเดินขบวนคัดค้านบังคับฉีดวัคซีนของรัฐ ในวันที่ 4 ธันวาคม 2021 แต่ยังถือเป็นคนกลุ่มเล็กภายในสังคม เพราะไม่ได้รับความสนใจจากผู้คนมากนัก เมื่อเทียบกับการเดินขบวนที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ

 

          เราไม่อาจรู้ได้ว่าในอนาคตโรคระบาดหรือเชื้อไวรัสชนิดใดจะกลับมาเกิดขึ้นอีก แต่หากเราไม่เร่งแก้ปัญหาสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เลิกปั่นข่าวและหันมายอมรับข้อเท็จจริงทางการแพทย์ที่พิสูจน์มามากมาย ไม่แน่ว่าในอนาคตโรคร้ายที่เราเคยคิดว่าสูญพันธ์ุจากโลกไปแล้วอาจหวนคืน ย้อนกลับมาคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากจากความเข้าใจผิดเหล่านี้ได้เช่นกัน

 

          และเมื่อถึงตอนนั้นอาจสายเกินจะมาตระหนักว่า สิ่งที่เคยเชื่อมันผิด แล้วก็เป็นได้

--------------------

ที่มา

logoline