svasdssvasds
เนชั่นทีวี

กีฬา

"เรือใบ" ฉายแสง-"หงส์แดง" หลงทาง : เสียงสะท้อนจากค่ำคืนที่เอติฮัด

ฟังเสียงสะท้อนจากคอมลัมนิสต์ทั่วอังกฤษ จากเกมที่ แมนเชสเตอร์​ซิตี้ ถล่ม ลิเวอร์พูล 3-0 หลายคนชี้ชัด "หงส์แดง" หลุดวงโคจรลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก, อาร์เน่อ ชล็อต วางแท็กติกผิดพลาด ขณะที่ฟอร์ม โฟลเรียน เวียร์ตซ์ ยังไม่สมราคา 100 ล้านปอนด์

เกมที่เอติฮัดเมื่อคืนวันอาทิตย์ไม่เพียงจบลงด้วยสกอร์ 3-0 ที่ชัดเจน หากยังกลายเป็นเหมือนการประกาศเปลี่ยนขั้วพลังในพรีเมียร์ลีก เพราะเป็นคืนที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลับมาสมบูรณ์แบบอีกครั้ง ขณะที่ ลิเวอร์พูล ถูกลากลงไปในภาวะที่หลายเสียงจากเกาะอังกฤษเรียกว่า “วิกฤต”

“ตอนนี้พูดได้เลยว่าลิเวอร์พูลไม่อยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์อีกต่อไป พวกเขากำลังอยู่ในช่วงวิกฤตอย่างแท้จริง” รอย คีน อดีตกัปตันแมนฯ ยูไนเต็ด วิจารณ์หลังเกม

คำว่า วิกฤต จากปากคีนสะท้อนให้เห็นภาพชัด เพราะตอนนี้ลิเวอร์พูลแพ้ถึง 5 จาก 6 นัดหลังในลีก ทั้งที่ฤดูกาลก่อนยังเอาชนะซิตี้ได้ทั้งเหย้า-เยือนอย่างเหนือชั้น

“ทีมดูอ่อนแรง เหนื่อยล้า ไม่มีพลัง ไม่มีความเข้มข้นในเกม” คีนเสริม “พวกเขาดูเหมือนทีมที่หมดแรงจะต่อสู้”

ขณะเดียวกัน ไมกาห์ ริชาร์ดส์ อดีตแบ็กขวาของซิตี้มองไปที่จุดปัญหาอีกด้าน นั่นคือ โฟลเรียน เวียร์ตซ์ เพลย์เมกเกอร์ค่าตัว 116 ล้านปอนด์ที่ยังไม่เปล่งประกายตามความคาดหวัง

“ถ้าคุณถูกซื้อมาด้วยเงินระดับนั้น คุณต้องพร้อมทันที แต่เรายังไม่เห็นตัวจริงของเวียร์ตซ์เลย” ริชาร์ดส์ กล่าว พร้อมยอมรับว่า “ผมปกป้องเขามาหลายสัปดาห์ แต่ถึงเวลาแล้วที่ต้องยอมรับว่าเขายังไม่ถึงระดับนั้น”

“เวียร์ตซ์ดูเหมือนเด็กน้อยในสนาม เขาต้องลุกขึ้นให้ได้ เราอาจให้อภัยได้เพราะเขายังอายุน้อย แต่ราคาค่าตัวเกิน 100 ล้านปอนด์มันบังคับให้คุณต้องแสดงความเป็นผู้ใหญ่บนเวทีนี้” แกรี่ เนวิลล์ เสริมในพอดแคสต์ของตัวเอง

ในอีกฟากหนึ่งของโต๊ะสตูดิโอ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ อดีตกองหน้าลิเวอร์พูล พยายามอธิบายว่า “เขายังต้องใช้เวลา” แต่ก็ยอมรับว่า “ทีมนี้ขาดความกลมกลืนและเคมีเดิมไปหมด มันไม่ใช่ลิเวอร์พูลที่เราเคยรู้จัก”

"เรือใบ" ฉายแสง-"หงส์แดง" หลงทาง : เสียงสะท้อนจากค่ำคืนที่เอติฮัด

เสียงจากข้างสนาม: ชล็อตโวยคำตัดสิน–แต่ไม่ขอแก้ตัว

อาร์เน่อ ชล็อต ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลกล่าวหลังเกมอย่างมีอารมณ์ว่า การถูกริบประตูตีเสมอของเฟอร์จิล ฟาน ไดค์ในครึ่งแรกเป็น “การตัดสินที่ผิดอย่างชัดเจน” เพราะแอนดี้ โรเบิร์ตสันไม่ได้กีดขวางการมองเห็นของจานลุยจิ ดอนนารุมม่า แต่ VAR กลับตัดสินไปในทางตรงกันข้าม

“ผมได้ดูรีเพลย์หลังเกม มันเป็นการตัดสินใจผิดแน่นอน” ชล็อตกล่าว “ถ้าลูกนั้นเป็นประตู เกมอาจเปลี่ยนไปหมด”

ถึงอย่างนั้นเขาก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า “ซิตี้สมควรชนะ เราแพ้เพราะพวกเขาเหนือกว่า ไม่ใช่เพราะผู้ตัดสิน” พร้อมยอมรับว่านี่คือช่วงที่ทีมต้อง “หยุดพูดเรื่องลุ้นแชมป์” และหันมา “เอาชนะทีละเกมให้ได้ก่อน” หลังทีมร่วงลงไปรั้งอันดับ 8 ของตาราง

แดนนี่ เมอร์ฟี่: “นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณปล่อยให้โดกูเล่นได้อย่างอิสระ”

ด้านคอลัมนิสต์ BBC Sport อย่างแดนนี่ เมอร์ฟี่ มองเห็นปัญหาชัดจากแท็กติกของชล็อต โดยให้ความเห็นว่า

“เฌเรมี่ โดกู ยอดเยี่ยมมาก แต่ลิเวอร์พูลคือผู้ช่วยเปิดทางให้เขาได้เล่นงานตัวเอง”

“ซาลาห์ไม่ลงมาช่วยเกมรับเลย ทำให้แบ็กขวาอย่างคอเนอร์ แบรดลีย์ต้องเผชิญโดกูแบบตัวต่อตัว แถมยังต้องระวังนิโก้ โอไรลีย์ที่ขึ้นมาเติมอีกคน มันแทบเป็นงานที่เป็นไปไม่ได้”

“สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เชลซีเคยเจาะจุดอ่อนฝั่งขวานี้มาก่อน และเกมนี้กลายเป็นการเปิดจุดอ่อนที่ชัดที่สุด ลิเวอร์พูลต้องรีบแก้ ไม่เช่นนั้นมันจะเกิดซ้ำทุกครั้งที่เจอทีมใหญ่”

เขายังเสริมว่า การที่ซาลาห์ไม่เคยถอยมาช่วยเลยในช่วง 20 นาทีแรก ทั้งที่โดกูกำลังเผาแบ็กขวา “มันไม่สามารถเข้าใจได้จริงๆ” เมอร์ฟี่ระบุ “เขาไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้เล่นเกมรับเต็มตัว แต่ในบางช่วง เขาควรช่วยประคองเกมหน่อย”

"เรือใบ" ฉายแสง-"หงส์แดง" หลงทาง : เสียงสะท้อนจากค่ำคืนที่เอติฮัด

โดกู : “โยดาแห่งเอติฮัด”

บาร์นีย์ โรเนย์ แห่ง The Guardian เขียนอย่างมีสีสันว่า “เฌเรมี โดกู เหมือนนักเต้นที่กำลังสนุกกับจังหวะของตัวเองบนสนาม” และเปรียบเปรยว่าปีกเบลเยียมวัย 23 ปีรายนี้ “เหมือนโยดาหนุ่มที่ไล่ฟันแสงเลเซอร์ใส่เหล่านักรบแห่งแอนฟิลด์”

โรเนย์บรรยายฉากที่โดกูใช้ท่าหลอกประจำตัว “The Wand” ทำให้แบรดลีย์และกราเฟนแบร์คหลงเหลี่ยมโดยบอกว่า “เขาทำให้กองหลังระดับทีมชาติอังกฤษดูเหมือนกำลังเล่นโรลเลอร์สเกตอยู่”

โดกูจบเกมด้วยสถิติเลี้ยงผ่านคู่แข่ง 7 ครั้ง ขณะที่ผู้เล่นคนอื่นทั้งสนามทำได้รวมกันไม่ถึงครึ่ง

“มันเหมือนเล่นกับสนามพลังที่ขยับได้” โรเนย์สรุป “เขาทำให้ซิตี้ดูเหมือนทีมที่เพิ่งถูกชุบชีวิตด้วยไฟฟ้าแรงสูง”

"เรือใบ" ฉายแสง-"หงส์แดง" หลงทาง : เสียงสะท้อนจากค่ำคืนที่เอติฮัด

จังหวะปัญหา : เมื่อ VAR ใช้มาตรฐานคนละชุด

ขณะที่ทีมงานจาก The Athletic อย่างจอร์แดน แคมป์เบลล์ และแอนดี้ โจนส์ วิเคราะห์ประเด็น VAR ว่า การตัดสินให้โรเบิร์ตสันล้ำหน้า “ดูไม่สอดคล้องกับเหตุผลทางกฎ” เพราะเขาไม่ได้อยู่ในแนวสายตาของผู้รักษาประตู

“เคสนี้เกือบเหมือนเกมที่ซิตี้เจอวูล์ฟส์ฤดูกาลก่อน ซึ่งผู้ตัดสินคนเดียวกันกลับให้ประตูนั้นเป็นลูกได้ มันจึงยากจะเข้าใจว่าทำไมครั้งนี้ถึงตัดสินอีกแบบ”

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเสียงโวยจากแฟนบอลและผู้จัดการทีม แต่ทุกสำนักเห็นตรงกันว่า “จังหวะนั้นไม่ใช่เหตุผลที่ลิเวอร์พูลแพ้” เพราะซิตี้เหนือกว่าทั้งแท็กติกและจังหวะของเกม

จุดตัดของสองเส้นทาง

หลังเสียงนกหวีดสุดท้าย เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ฉลองเกมที่ 1,000 ในอาชีพกุนซือด้วยรอยยิ้ม

“นี่คือของขวัญที่สวยงามที่สุด” เป๊ป กล่าว “เรากำลังกลับไปสู่การเป็นทีมที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเรา แต่ไม่ดีสำหรับคู่แข่ง”

สำหรับฝั่งแดงแห่งเมอร์ซีย์ไซด์ ทุกเสียงจากสื่ออังกฤษต่างเห็นตรงกันว่า ลิเวอร์พูลกำลังสูญเสียเอกลักษณ์ ทั้งความเข้มข้นในเกม ความดุดันเมื่อไม่มีบอล และพลังใจที่เคยทำให้พวกเขาเป็นทีมที่ไม่มีใครอยากเจอ

“ทีมที่แพ้ 7 จาก 10 นัด และหล่นลงไปอันดับ 8 ไม่ควรถูกพูดถึงในฐานะผู้ลุ้นแชมป์” รอย คีน พูดชัด ๆ

ค่ำคืนที่เอติฮัดอาจเป็นแค่เกมหนึ่งในฤดูกาลอันยาวไกล สำหรับซิตี้ มันอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการไล่ล่าครั้งใหม่ แต่สำหรับลิเวอร์พูล มันอาจเป็นค่ำคืนที่ต้องหันมามองกระจก เพื่อถามตัวเองว่า “เรากลายเป็นทีมที่เราไม่อยากเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

"เรือใบ" ฉายแสง-"หงส์แดง" หลงทาง : เสียงสะท้อนจากค่ำคืนที่เอติฮัด