
KEY
POINTS
การแข่งขันฟุตบอลคาราบาว คัพ รอบ 3 เมื่อคืนที่ผ่านมา เกิดเรื่องราวสุดช็อก เมื่อ สวอนซี ซิตี้ ทีมจากแชมเปี้ยนชิพ พลิกกลับมาเอาชนะ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ทีมจากพรีเมียร์ลีก ไปได้อย่างเหลือเชื่อ 3-2 ทะลุเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ
เกมนี้ ฟอเรสต์ ที่มีการปรับผู้เล่นถึง 10 ตำแหน่ง ดูเหมือนจะควบคุมเกมไว้ได้ทั้งหมด โดยขึ้นนำไปก่อนถึง 2-0 จากการทำประตูของ อิกอร์ เฆซุส ในนาทีที่ 15 และ 45+2 ซึ่งถือเป็นการยิงประตูแรกของกองหน้าชาวบราซิลนับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีม
แต่ในช่วงท้ายเกม สวอนซี ซิตี้ ก็ไม่ยอมแพ้ และเริ่มสร้างปาฏิหาริย์ในครึ่งหลัง โดยไล่ตีตื้นมา 1-2 จากลูกโหม่งของ คาเมรอน เบอร์เกสส์ ในนาทีที่ 85 จากนั้นในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 93 ซาน วิปอทนิค ก็ยิงประตูตีเสมอเป็น 2-2 ได้สำเร็จ ซึ่งดูเหมือนว่าเกมจะต้องตัดสินกันด้วยการดวลจุดโทษ
ทว่า ดราม่ายังไม่จบ! ในนาทีที่ 97 คาเมรอน เบอร์เกสส์ คนเดิม ก็ทำประตูชัยให้กับ สวอนซี ซิตี้ จากจังหวะที่ ฟอเรสต์ เคลียร์บอลไม่ขาด ส่งให้ทีมจากลีกรองแซงชนะไปอย่างเหลือเชื่อ
ชัยชนะนัดนี้ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ สวอนซี ซิตี้ นับตั้งแต่ตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก และเป็นครั้งแรกในรอบ 10 เกมที่พวกเขาเอาชนะทีมจากลีกสูงสุดได้ในฟุตบอลถ้วย
สำหรับ อังเก้ ปอสเตโคกลู กุนซือชาวออสเตรเลียของ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ยังคงต้องรอคอยชัยชนะแรกในการคุมทีมต่อไป โดยเกมนี้ถือเป็นเกมที่เขาจะได้เห็นนักเตะใหม่ที่สโมสรทุ่มทุนไปกว่า 120 ล้านปอนด์ได้ลงสนามอย่างเต็มที่
แม้จะพ่ายแพ้ แต่ฟอร์มการเล่นของลูกทีมก็มีหลายจุดที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะการทำประตูของ อิกอร์ เฆซุส ซึ่งแสดงให้เห็นถึงรูปแบบการเล่นแบบ “Angeball” ที่ต้องการให้ทีมทำเกมรุกอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การเสียประตูอย่างง่ายดายในช่วงท้ายเกมก็เป็นสิ่งที่กุนซือรายนี้ต้องนำไปปรับปรุงแก้ไขอย่างเร่งด่วน