การแข่งขันเพื่อแย่งชิงตั๋วเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศของศึกยูโรปาลีก "แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด" เตรียมเปิดบ้านรับการมาเยือนของ "เรอัล โซเซียดาด" ในเลกที่สองของรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด คืนวันพฤหัสบดีนี้
ทั้งสองทีมเสมอกัน 1-1 ในเลกแรกที่ซาน เซบาสเตียน โดยที่ โจชัว เซิร์คซี ยิงประตูขึ้นนำให้กับแมนฯ ยูไนเต็ด ก่อนที่ มิเกล โอยาร์ซาบัล จะตามตีเสมอจากจุดโทษในนาทีที่ 70
สามวันหลังจากเสมอเรอัล โซเซียดาด แมนฯ ยูไนเต็ด เปิดบ้านเสมออาร์เซนอล 1-1 ในศึกพรีเมียร์ลีก โดยที่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ยิงฟรีคิกสุดสวย แต่ถูก ดีแคลน ไรซ์ ยิงตีเสมอในครึ่งหลัง
แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงรั้งอันดับ 14 ของพรีเมียร์ลีก ตามหลังท็อป 5 อยู่ถึง 13 คะแนน ขณะที่เหลือโปรแกรมอีก 10 นัด นั่นทำให้ความหวังสุดท้ายของพวกเขาในการไปเล่นยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ฤดูกาลหน้าอยู่ที่การคว้าแชมป์ยูโรปาลีกให้ได้
นอกเหนือจากเรื่องในสนาม สโมสรยังตกเป็นข่าวอย่างต่อเนื่อง โดย เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ เจ้าของร่วม ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับหลายประเด็นสำคัญ ตั้งแต่ปัญหาทางการเงินไปจนถึงผลกระทบของกุนซือ รูเบน อโมริม พร้อมทั้งประกาศแผนสร้างสนามใหม่ขนาด 100,000 ที่นั่ง
สำหรับ อโมริม และลูกทีม โฟกัสหลักคือการคว้าผลการแข่งขันให้ได้ แม้ผลงานในลีกจะย่ำแย่ แต่พวกเขายังคงไม่แพ้ใครในยูโรปาลีกฤดูกาลนี้ (ชนะ 5 เสมอ 4) และชนะ 3 เกมหลังสุดในบ้าน
แมนฯ ยูไนเต็ด เคยแพ้แค่เกมเดียวจาก 28 นัดหลังสุดในบ้านของยูโรปาลีก (ชนะ 21 เสมอ 6) และความพ่ายแพ้ครั้งนั้นมาจากเรอัล โซเซียดาด ที่บุกมาชนะ 1-0 ในรอบแบ่งกลุ่มเมื่อกันยายน 2022 จากจุดโทษของ ไบรส์ เมนเดซ
ฟาก เรอัล โซเซียดาด ผลเสมอในเลกแรกถือเป็นผลงานที่ดีที่สุดของพวกเขาในช่วงหลัง เพราะพวกเขาแพ้ 3 เกมติดในลาลีกา รวมถึงเกมล่าสุดที่พ่ายเซบีย่า 0-1 คาบ้าน
ก่อนหน้านี้ พวกเขาเคยแพ้บาร์เซโลน่าถึง 0-4 และล่าสุดก็เสียประตูให้ เซบีย่า จากจังหวะโต้กลับของ ชิเดร่า เอยูเก้ เพียง 1 นาทีหลังเริ่มครึ่งหลัง ทำให้ทีมของ อิมานอล อัลกัวซิล แพ้เป็นนัดที่ 13 ในลีกฤดูกาลนี้ และเป็นการพ่ายแพ้ 6 นัดจาก 9 เกมลีกล่าสุดของปี 2025
เช่นเดียวกับแมนฯ ยูไนเต็ด โซเซียดาด อาจต้องคว้าแชมป์ยูโรปาลีกเพื่อไปเล่นแชมเปียนส์ลีกฤดูกาลหน้า เนื่องจากพวกเขาหล่นไปอยู่อันดับ 11 ของลาลีกา ตามหลังท็อป 4 อยู่ 15 คะแนน ขณะที่เหลืออีก 11 นัด และยังตามหลังพื้นที่ยูโรปาลีกอยู่ 10 คะแนน
ทีมของ อัลกัวซิล ออกไปแพ้ 6 จาก 8 นัดหลังสุดในทุกรายการ และแพ้ 2 จาก 3 นัดหลังสุดในยูโรปาลีก อย่างไรก็ตาม พวกเขายังไม่แพ้ในการมาเยือนโอลด์ แทรฟฟอร์ด 2 ครั้งหลังสุด (ชนะ 1 เสมอ 1) และเก็บคลีนชีตได้ทั้งสองนัด
โซเซียดาด หวังสร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศของฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรกในศตวรรษที่ 21
จะไม่มี ลิซานโดร มาร์ติเนซ (เข่า), อาหมัด ดิยัลโล่ (ข้อเท้า), ค็อบบี้ ไมนู (น่อง), ลุค ชอว์, เมสัน เมาท์ (ทั้งคู่แฮมสตริง), จอนนี่ อีแวนส์ (กล้ามเนื้อ), อัลตาย บายินเดียร์, ทอม ฮีตัน (ทั้งคู่ไม่ระบุอาการ) และ ชิโด โอบี-มาร์ติน (ไม่ได้ลงทะเบียนในรายการนี้)
เลนี่ โยโร ถูกเปลี่ยนออกในช่วงพักครึ่งเกมพบอาร์เซนอล เนื่องจากอาการบาดเจ็บที่เท้า และยังคงเป็นเครื่องหมายคำถาม เช่นเดียวกับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ที่เจ็บเล็กน้อย ส่วน มานูเอล อูการ์เต้ อาจฟิตกลับมาลงสนามได้
ขณะที่ แพทริก ดอร์กู แม้จะติดโทษแบนในลีก แต่สามารถลงเล่นในยูโรปาลีกได้ และคาดว่าจะคืนตำแหน่งแบ็กซ้าย ด้าน อโมริม อาจต้องตัดสินใจว่าจะให้ ราสมุส ฮอยลุนด์ กลับมาเป็นตัวจริง หรือคงไว้ซึ่ง คริสเตียน เอริคเซ่น และ อเลฆานโดร การ์นาโช่ อยู่ข้างหลัง เซิร์คซี
จอน ปาเชโก้ (กล้ามเนื้อ) ยังไม่ฟิต ขณะที่ ลูก้า ซูซิช (เข่า) และ จอน อารัมบูรู (เท้า) ไม่ได้ซ้อมเมื่อวันจันทร์ ทำให้มีโอกาสสูงที่จะพลาดเกมนี้
อย่างไรก็ตาม อัลบาโร่ โอดริโอโซล่า และ อาร์เซน ซาคารียาน หายเจ็บกลับมาแล้ว และอาจมีส่วนร่วม ส่วนกองกลางคนสำคัญ มาร์ติน ซูบิเมนดี้ พร้อมลงสนามหลังหายป่วย
ผู้เล่นแนวรุกอย่าง โอยาร์ซาบัล, ทาเคฟุสะ คุโบะ และ อันเดร์ บาร์เรเน็ตเชีย น่าจะได้กลับมาเป็นตัวจริง แทนที่ ออร์รี ออสการ์สัน, เชรัลโด้ เบ็คเกอร์ และ เซร์คิโอ โกเมซ