svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เจาะประเด็นร้อน

"สงครามรัสเซีย-ยูเครน"ครบ 1 ปี แนวโน้มสถานการณ์ปี 2023 จะจบลงอย่างไร

23 กุมภาพันธ์ 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ไม่น่าเชื่อ "สงครามรัสเซีย-ยูเครน" เดินทางมาถึง 1 ปี แล้ว สถานการณ์ที่กองกำลังรัสเซีย มีศักยภาพเหนือกว่า แต่ไม่ประสบความสำเร็จในการมีชัยเหนือยูเครน สถานการณ์สู่ปีที่ 2 และแนวโน้มอนาคตเป็นอย่างไร ติดตามในเจาะประเด็น โดย "รศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข"

สงครามยูเครนเดินทางมาถึง 1 ปีอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะหากดูอำนาจกำลังรบแล้ว "กองทัพยูเครน" ไม่อยู่ในสถานะที่จะรับมือกับการโจมตีขนาดใหญ่ของกองทัพรัสเซียได้เลย ดังจะเห็นได้จากตัวเลขก่อนสงครามว่า กองทัพบกยูเครนมีกำลังเพียง 145,000 นาย ในขณะที่กองทัพบกรัสเซียมีกำลังมากถึง 280,000 นาย หรือยูเครนมีรถถังหลักเพียง 854 คัน ส่วนรัสเซียมีมากถึง 2,750 คัน …"กองทัพบกรัสเซีย"ใหญ่เป็น 2 เท่า และมีรถถังมากกว่าประมาณ 3 เท่าของกองทัพบกยูเครน 

 

\"สงครามรัสเซีย-ยูเครน\"ครบ 1 ปี  แนวโน้มสถานการณ์ปี 2023 จะจบลงอย่างไร

 

ปีแรกของสงคราม


หากคิดในมุมของการเปรียบกำลังรบแล้ว จึงแทบมองไม่เห็นหนทางที่"ยูเครน"จะอยู่รอดได้ถึง 1 ปีเลย เว้นแต่"กองทัพรัสเซีย"มีปัญหาในตัวเอง และไม่มีความพร้อมรบในการทำสงครามขนาดใหญ่ ซึ่งภาวะเช่นนี้ส่งผลให้"กองทัพรัสเซีย"ต้องใช้อำนาจทางทหารกระทำต่อเป้าหมายพลเรือนมากขึ้น เพื่อให้สังคมยูเครนอ่อนล้าจนรบต่อไปไม่ได้ แต่สภาพดังกล่าวก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง รัฐบาลและ"กองทัพยูเครน"ยังคงดำรงความสามารถทางทหารที่ยังทำการรบต่อไปได้ แม้สังคมยูเครนในปีแรกจะบอบช้ำอย่างหนักจากสงครามของรัสเซีย

อย่างไรก็ตาม ถ้าแผนการสงครามเดินไปตามความคาดหวังของ"ประธานาธิบดีปูติน"แล้ว การบุกคีฟเพื่อยึดเมืองหลวงของยูเครนน่าจะสำเร็จได้ในระยะเวลาไม่กี่วันหลังจากการเปิดสงคราม แต่เมื่อ "ปฎิบัติการพิเศษทางทหาร" (special military operations) ไม่ประสบความสำเร็จได้จริงแล้ว สงครามจึงพลิกไปในอีกแบบหนึ่ง

 

\"สงครามรัสเซีย-ยูเครน\"ครบ 1 ปี  แนวโน้มสถานการณ์ปี 2023 จะจบลงอย่างไร

 

หากย้อนกลับไปเมื่อสงครามเริ่มต้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 หลายฝ่ายจึงเชื่อว่าความอยู่รอดของยูเครนนั้น ไม่น่าจะมีเวลาเหลือมากนัก แต่เมื่อยูเครนสามารถเหนี่ยวรั้งการรุกของกองทัพรัสเซียได้อย่างคาดไม่ถึง การรบในยูเครนจึงเป็นดัง "การยัน" ในทางทหาร (military stalemate) กล่าวคือ ต่างฝ่ายต่างไม่สามารถที่เอาชนะซึ่งกันและกันได้ในสนามรบ และส่งผลให้การรบดำเนินเข้าสู่ปีที่ 2 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

ดังนั้น สงครามในปีที่ 2 จึงมีแนวโน้มน่าจะรุนแรงมากขึ้น จากความพยายามของแต่ละฝ่ายที่ต้องชิงความได้เปรียบทางทหาร และท้าทายต่อความเป็นไปของการเมืองโลกมากขึ้นด้วย

ปีที่ 2 ของสงคราม
     

หากต้องมองสู่ปีที่ 2 ของสงคราม เราอาจเห็นแนวโน้มและปัญหาสังเขปในอนาคต 12 ประการ ดังนี้

 

1)  การรบยังไม่มีจุดสิ้นสุด คู่สงครามยังมีกำลังที่จะทำการต่อได้อีกนาน และมีอาวุธให้สามารถทำการรบต่อได้ แม้กองทัพของทั้งสองฝ่ายจะประสบความสูญเสียทั้งกำลังพลและอาวุธเป็นจำนวนมาก

 

2)  สภาวะเช่นนี้ยังไม่เป็นโอกาสให้เกิดการเจรจาสันติภาพ เพราะต่างฝ่ายต่างต้องการรบต่อ และยังไม่ถึงจุดที่จะทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องการการเจรจา

 

3)  ยูเครนมีความหวังที่จะเอาดินแดนที่รัสเซียยึดกลับคืนมา หลังจากประสบความสำเร็จในการเอาดินแดนที่รัสเซียยึดครองกลับคืนมาได้บางส่วน และอาจเปิดการรุกทางทหารมากขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ

 

4)  รัสเซียเตรียมที่จะเปิดสงครามใหญ่หลังฤดูหนาว และต้องการที่จะยึดดินแดนให้ได้มากขึ้น เพื่อตอบโต้กับชัยชนะของการรุกทางทหารของยูเครน และเพื่อสร้างภาพของชัยชนะในบ้านตัวเอง มิฉะนั้น ประธานาธิบดีปูตินและกองทัพรัสเซียจะเผชิญกับแรงกดดันทางการเมือง

 

5)  สงครามน่าจะมีแนวโน้มที่รุนแรงมากขึ้น เพราะต่างฝ่ายต่างเตรียมตัวทำสงครามใหญ่ และมีความคาดหวังที่จะได้รับผลตอบแทนทางการเมืองมากขึ้น ซึ่งทำให้กองทัพยูเครนมีความต้องการอาวุธหนักเพิ่มมากขึ้นด้วย

 

6)  ความกังวลถึงการขยายสงครามออกนอกพื้นที่ของยูเครน ทำให้หลายประเทศในยุโรปและประเทศที่มีแนวชายแดนติดกับรัสเซียกลัวว่ารัสเซียจะขยายสงคราม จึงส่งผลให้เกิดเอกภาพทางความคิดทางด้านความมั่นคงในปัญหาภัยคุกคามจากรัสเซีย หรือมีทัศนะในแบบต่อต้านรัสเซียมากขึ้นนั่นเอง

 

7)  ข้อกังวลในเรื่องของสงครามนิวเคลียร์ หลายฝ่ายกังวลในเรื่องนี้ แต่ก็หวังว่าประธานาธิบดีปูตินจะมีเหตุผลมากพอ ที่จะไม่ตัดสินใจใช้อาวุธนิวเคลียร์ เพราะการตัดสินใจดังกล่าวอาจนำไปสู่สงครามนิวเคลียร์ขนาดใหญ่ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐและเนโต้ได้

 

8)  คำประกาศของประธานาธิบดีปูตินที่ถือว่า นับจากนี้ความตกลงที่เกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ที่มีกับสหรัฐ (ความตกลง START) ถือว่าไม่มีผลบังคับใช้แล้ว ทำให้คำประกาศของประธานาธิบดีปูตินครั้งนี้เป็นปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งของสงครามในปีที่ 2 และนำไปสู่ความกังวลในเรื่องการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย

 

9)  การเดินทางเยือนยูเครนของประธานาธิบดีไปเดน และบรรดาผู้นำตะวันตกหลายประเทศเป็นคำยืนยันอย่างดีว่า ตะวันตกจะไม่ยอมทิ้งยูเครนในสงครามครั้งนี้ ซึ่งสัญญาณเช่นนี้มีความชัดเจนถึงการสนับสนุนทางการเมือง เศรษฐกิจ และการทหารที่มีต่อยูเครน 

 

10)  ปัญหาผลกระทบจากสงครามกับภูมิภาคอื่นๆ ทั้งในเอเชียและแอฟริกา ซึ่งจะทำให้เกิดการแบ่งฝ่ายในแต่ละภูมิภาคมากขึ้น 

 

11)  จีนจะยังคงมีบทบาทในการสนับสนุนรัสเซียในปีที่ 2 ของสงครามเพียงใด แต่ทุกฝ่ายรู้ดีว่า ในสถานการณ์การเมืองโลกปัจจุบัน จีนไม่สามารถทิ้งรัสเซียได้ แต่จีนจะแสดงบทบาทในเวทีโลกอย่างไรในเรื่องนี้

 

12)  ความสูญเสียทางทหาร และการถูกปิดล้อมทางเศรษฐกิจจะส่งผลต่อสงครามของรัสเซียในปีที่ 2 อย่างไร ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่า ผู้นำรัสเซียจะยังคงเดินหน้าทำสงครามในปี 2023 ต่อไป ดังที่ปรากฏจากคำประกาศในวาระครบรอบปีของสงครามยูเครน ที่มีทิศทางแบบแข็งกร้าว และไม่เปิดช่องของการประนีประนอม

 

โวโลดีมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน

 

แนวโน้มในอนาคต

 

สงครามยูเครนในปี 2023 จึงเป็นความท้าทายอย่างยิ่งต่อการจัดระเบียบโลก … ถ้าสงครามในปีแรกเริ่มต้นด้วยการบุกของกองทัพรัสเซียแล้ว สงครามในปีที่ 2 เริ่มต้นด้วยการเดินทางเยือนยูเครนของผู้นำทำเนียบขาว อันเป็นสัญญาณโดยตรงถึงผู้นำมอสโคว์ว่า สหรัฐและโลกตะวันตกจะไม่ถอยในสงครามครั้งนี้อย่างแน่นอน และผู้นำรัสเซียก็ตอบด้วยการไม่รับผลความตกลงในเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ที่มีกับสหรัฐ 

 

สภาวะเช่นนี้เป็นคำตอบอย่างชัดเจนว่า สงครามจะดำเนินไปตลอดช่วงปี 2023 และน่าจะส่งผลให้เกิดวิกฤตที่เกิดขึ้นในปีแรก ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตอาหาร วิกฤตพลังงาน และวิกฤตผู้อพยพ จะยังคงเป็นประเด็นในเวทีโลกต่อไป
 

logoline