15 ธันวาคม 2566 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากนายไพศาล (สงวนนามสกุล) อายุ 68 ปี อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ว่า ได้นำโฉนดบ้านและที่ดิน 418 ตารางวา ไปจำนองกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ธนาคารแห่งหนึ่งเมื่อปี 2548 เป็นจำนวนเงิน 40 ล้านบาท และผ่อนชำระใช้หนี้เรื่อยมา จนยอดเหลืออยู่ที่ 23.3 ล้านบาท
หลังจากนั้นตนได้ประกาศขายบ้าน ในราคา 35 ล้านบาท โดยต้องเสียค่านายหน้า กว่า 1.3 ล้านบาท ให้กับผู้ที่แนะนำคนมาซื้อบ้านตน และทางผู้ซื้อได้มัดจำเงินมาให้กับตนเองแล้วจำนวนเงิน 2 ล้านบาท นัดทำสัญญาโอนกันในวันที่ 25 ธันวาคม 2566
ตนเองได้ติดต่อไปที่ธนาคาร เพื่อขอไถ่ถอนโฉนดบ้านและที่ดินคืน ทางธนาคารแจ้งว่า ต้องวางเงินจำนวน 1.3 ล้านบาท ให้กับธนาคารก่อน ตนจึงได้นำเงินมัดจำในการไถ่ถอนไปวางไว้ให้ตามที่ธนาคารแจ้งมา ส่วนที่เหลืออีก 22 ล้านบาท ได้เตรียมเงินไว้แล้ว
นายไพศาล กล่าวอีกว่า เมื่อตนเองสอบถามถึงโฉนดและขอดู ทางธนาคารกลับแจ้งว่า หายไปตั้งแต่ปี 2564 และบอกให้ตนเองไปคัดสำเนาใหม่ ซึ่งต้องใช้เวลา อย่างเร็ว 30 วัน อย่างช้า 60 วัน และต้องมีค่าใช้จ่ายหลายหมื่นบาท โดยธนาคารปฏิเสธความรับผิดชอบ บอกเพียงคำเดียวว่า "ขอโทษ"
ตนช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และรู้สึกว่าธนาคารทำแบบนี้กับลูกค้าได้อย่างไร ตนได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก เพราะไม่สามารถขายบ้านที่ผู้ซื้อมัดจำไว้ 2 ล้านบาท แถมฝั่งคนซื้อก็จะปรับที่ตนผิดสัญญาซื้อขาย เป็นเงินอีก 2 ล้านบาท เพราะทางผู้ซื้อเองเขาก็เดือดร้อน ต้องไปกู้เงินเสียดอกมาซื้อบ้านตนเองในราคา 35 ล้านบาท
อีกทั้งตนยังจะต้องควักกระเป๋าเสียค่านายหน้าให้กับผู้ที่แนะคนมาซื้อบ้านอีกเป็นเงิน ล้านกว่าบาท ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ลูกสาวตนเองได้วางมัดจำจำนวน 500,000 บาท เพื่อที่จะไปซื้อหมู่บ้านอีกแห่งในราคา 15 ล้านบาท และต้องใช้เงินจากการขายบ้านหลังนี้ของตนเอง เมื่อมาเจอปัญหาแบบนี้ทำให้เงินมัดจำ 500,000 บาท ของลูกสาวก็ต้องถูกริบไป
อยากฝากถึงธนาคารว่า คุณเป็นถึงธนาคารมีชื่อเสียง มีระบบรักษาความปลอดภัยใหญ่โต แต่กลับปล่อยให้โฉนดบ้านและที่ดินของตนหาย โดยไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน เรื่องนี้ควรมีคำตอบให้กับเรา ไม่ใช่บอกได้แค่เพียงว่าขอโทษ จนเสียหายทุกอย่าง ไม่ว่าจะโดนทั้งค่านายหน้า ค่าผิดสัญญาผู้ที่จะมาซื้อบ้าน รวมทั้งเงินของลูกสาวที่วางมัดจำแล้วถูกริบไป อยากให้ธนาคารออกมารับผิดชอบในเรื่องนี้ด้วย