
31 ตุลาคม 2566 เมื่อเวลา 12.00 น. นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล และ นางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น พร้อมด้วย นายสุรชัย ชินชัย หัวหน้าทีมทนายความ และ คณะทนายความจากสำนักกฎหมาย ธรรมรังสี ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ภายหลังศาลจังหวัดมุกดาหาร ได้เลื่อนอ่านคำพิพากษาในคดีของน้องชมพู่ ไปเป็นวันที่ 20 ธันวาคม 2566 เวลา 10.00 น.
นายสุรชัย กล่าวว่า คดีลุงพล มีข้อหาฆ่าคนตาย ซึ่งมีโทษจำคุกตลอดชีวิต โดยตามระเบียบตุลาการศาลยุติธรรม ต้องส่งสำนวนร่างคำพิพากษาไปยังสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 ตรวจสำนวนก่อน โดยการเลื่อนไม่ได้กระทบการต่อสู้คดีของจำเลย เพราะว่าเราบริสุทธิ์ ไม่ได้ทำผิด แต่การได้มาซึ่งพยานหลักฐานในสำนวน การตรวจค้นวัตถุพยาน มองว่าไม่ได้ทำอย่างตรงไปตรงมา มีข้อพิรุธกังขา ไม่สุจริตพอจะรับฟังเป็นพยานหลักฐาน
เช่น การพบเส้นขนบนรถยนต์ที่ลุงพลใช้ประจำ เปรียบเทียบกับที่เกิดเหตุ จุดพบร่างและพบกางเกง เห็นว่าการตรวจค้นไม่มีหมายค้นจากศาล และการตรวจพบวัตถุพยาน ไม่ได้แจ้งผู้ใหญ่บ้าน จำเลย และสื่อว่าพบอะไร ซึ่งพบเส้นผม เส้นขน และมีด
ยืนยันที่ผ่านมาพยายามค้นความจริงว่า ลุงพลกับป้าแต๋น ได้หลอกทนายหรือปกปิดข้อเท็จจริงบางส่วนหรือไม่ ซึ่งก็ขอให้ลุงพล ไปพบนักจิตวิทยาคลินิก และเครื่องจับเท็จ ซึ่งลุงพลสมัครใจเข้าเครื่องจับเท็จ ผลพบปกติ ไม่มีจิตฟั่นเฟือน ไม่วิกลจริต
ส่วนแรงจูงใจในการก่อเหตุ ก็ไม่พบว่าลุงพล ป้าแต๋น ได้ประโยชน์โดยตรงใดๆ จากการตายของน้องชมพู่ ทั้งกรมธรรม์ประกันภัย ประกันชีวิต รวมถึงไม่พบว่ามีความอาฆาตแค้นกัน โดยเฉพาะ ป้าแต๋น ก็เป็นพี่สาวตามสายเลือดของแม่ชมพู่ และวันเกิดเหตุยังไปวัด GPS ที่สวนที่มีที่ดินติดกันอยู่เลย และทางกามอารมณ์ ลุงพลก็ไม่มีจิตดังกล่าวกับน้อง ก็เลยเอาทั้งหมดมาต่อสู้ข้อกล่าวหา
ซึ่งจากการตรวจร่างกายของ รพ.สรรพสิทธิประสงค์ และ รพ.ตำรวจ ก็ไม่พบการต่อสู้ทำร้าย ไม่พบสิ่งใดที่เป็นพิษในกระเพาะอาหาร อวัยวะเพศไม่ฉีกขาด ไม่พบดีเอ็นเอลุงพล ในร่างและในเสื้อผ้าที่น้องใส่
คณะทนายความเข้าใจการสูญเสียเด็กอายุเพียง 3 ขวบเศษ แต่การสูญเสียครั้งนี้ ลุงพล ป้าแต๋น ไม่ได้เกี่ยวข้องรู้เห็น อย่างไรก็ตามแม้คำพิพากษาจะออกเป็นอย่างไร ฝ่ายจำเลยยินดีน้อมรับ
สำหรับการตั้งข้อสังเกตว่า น้องชมพู่อาจจะเดินตามสุนัข ทีมทนายได้เชิญครูฝึกสุนัขมาสอบถาม ก็พบว่าหากชมพู่เป็นคนให้อาหาร แต่สุนัขไม่รู้หรอกว่าใครเป็นเจ้าของ ใครให้อาหารก็ผูกพันกับคนนั้น ส่วนน้องเดินขึ้นภูไปได้ เพราะอาจจะเอาพลังจากไขมัน จากตับ ในภาวะที่ต้องเอาชีวิตรอด ซึ่งหลักวิชาการเกิดขึ้นได้ และร่างกายเด็ก 3 ขวบ มีความยืดหยุ่น เชื่อว่าไปได้
ส่วนน้องถอดกางเกงได้หรือไม่นั้น ใช้การเบิกความนักพฤติกรรมศาสตร์ ก็ได้ข้อมูลมาว่า แม้ไม่เคยเห็นน้องถอดเสื้อผ้า แต่ลับหลังอาจจะทำได้ โดยเฉพาะกางเกงขาสั้น ก็จะยิ่งถอดง่าย
และที่ศพมีรอยขีดข่วน ลักษณะเป็นบาดแผลกระทบกับของมีคม ไม่ได้ถูกกระทำ ซึ่งในป่าภูเหล็กไฟช่วงเดือนพฤษภาคม มีต้นพริกที่มีความแหลมคม ระหว่างน้องผจญ เอาชีวิตรอด อาจไปกระทบจนเกิดแผลตามร่างกาย หากลุงพลอุ้มน้องขึ้นไประยะหนึ่ง โดยวิสัยน้องต้อง ร้องไห้หรือไม่ไปต่อ ถ้าเป็นแบบนั้น ลุงพลต้องทำร้ายร่างกายให้ขัดขืน และนอกจากนี้ ก็ไม่พบหนามต้นพริกที่ขีดข่วนร่างกายลุงพลด้วย
สำหรับประเด็นเส้นผมที่พบในที่เกิดเหตุ นายสุรชัย กล่าวว่า เส้นผมที่ขาด อาจจะเกิดจากถูกสัตว์ป่ากัดแทะ เช่น หนู แมลงสาบ ซึ่งฝ่ายกล่าวหา ยืนยันว่าขาด เพราะมีของมีคมด้านเดียว ฟันสับไป ตนเองก็พยายามให้เห็นว่า การตัดด้วยของคมด้วยเดียว แตกต่างจากการใช้กรรไกรตัดหรือไม่
นอกจากนี้ก็มีการใช้แสงซินโครตรอน ดูเส้นผมที่พบในรถลุงพลและที่พบข้างศพว่าเป็นชุดเดียวกัน และคนๆ เดียวตัด
นายสุรชัย กล่าวว่า เส้นผมเป็นชีววิทยา ต่างจากโลหะทั่วไป ไม่รู้ว่าเก็บไว้นานแค่ไหนก่อนเอาไปให้แสงซินโครตรอนส่อง ผลจะเสถียรแค่ไหน และมีดพกสั้นที่เอาไปตรวจว่าเป็นอาวุธในการตัด ก็ไม่พบดีเอ็นเอลุงพล ยิ่งบอกว่าตัดผมไปทำพิธีสะกดวิญญาณ ยิ่งไม่เป็นวิทยาศาสตร์ และหลังเกิดเหตุ ลุงพลก็ไม่ได้ทำพิธีสะกดวิญญาณใคร
และเส้นผมที่พบในรถ ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเป็นผมของน้องชมพู่ เพราะไม่มีรากผม ตรวจดีเอ็นเอไม่ได้ ตรวจได้แค่ ไมโทคอนเดรีย ว่า มาจากสายเลือดฝั่งแม่เดียวกัน โดยเส้นผมพบในรถเดือนมิถุนายน 2563 นั้น เป็นรถที่ลุงพลใช้ประจำ ไม่เคยล้าง เป็นไปได้ว่าน้องชมพู่ขึ้นรถคันนี้หลายครั้ง เพราะลุงพลป้าแต๋นพาไปเที่ยว
สำหรับประเด็นที่ฝ่าเท้าน้องไม่บวม ไม่พอง ถ้าเดินขึ้นเขานั้น ทนายสงกา อันทรินทร์ กล่าวว่า ชมพู่สวมรองเท้าสีฟ้าขาว ปลายเท้าด้านหน้ายื่นเลยรองเท้า พบรองเท้าน้องบนภู จึงเชื่อว่าน้องสวมรองเท้าขึ้นไปเอง เพราะปลายเท้ามีรอยช้ำมากกว่าส่วนอื่นๆ ของเท้า ส่วนการตกของเลือด ที่อยู่บริเวณแผ่นหลังของน้องชมพู่ นั้น เป็นไปตามธรรมชาติ เชื่อได้ว่าน้องเสียชีวิตในท่านั้น ไม่ได้เป็นการเสียชีวิตจากที่อื่นแล้วนำมาอำพราง
ด้าน ลุงพล กล่าวว่า เราอยากจะทักทายแม่น้องชมพู่ และพูดคุยกันเหมือนเดิม แต่ด้วยสถานการณ์มันทำให้เราต้องห่างกันสักพัก ซึ่งเราก็จะขอใช้เวลา ในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองก่อน หลังจากนี้ก็เป็นเรื่องของอนาคต ว่าจะเป็นยังไง ก็ค่อยว่ากันอีกครั้ง
ขณะที่ ป้าแต๋น กล่าวว่า ได้เจอพ่อแม่ของน้องชมพู่ทุกทุกครั้งที่มาศาล เราก็ทำตัวปกติ เพราะทุกอย่าง ต่อสู้กันมาคนละแนว เราพยายามคืนความบริสุทธิ์ให้ตัวเราและครอบครัว ส่วนเขาหาความยุติธรรมให้ลูก แต่ทั้ง 2 ครอบครัว ความสัมพันธ์แตกหักแล้ว ส่วนอนาคตเป็นยังไง เป็นเรื่องของอนาคต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศภายในห้องแถลงข่าว ได้มีแฟนคลับของลุงพล มาร่วมฟังคำแถลงข่าว พร้อมกับนำช่อดอกไม้ มาช่วยกันตกแต่งบริเวณโพเดียมที่ใช้สำหรับแถลงข่าว และนำช่อดอกไม้ มามอบให้กับทีมทนายและลุงพลป้าแต๋น เพื่อให้กำลังใจด้วย นอกจากนี้ยังมีแฟนคลับนำพวกมาลัยเงินมามอบให้กับลุงพล ป้าแต๋น โดยรวมมูลค่าทั้งหมดกว่า 50,000 บาท