17 ตุลาคม 2566 นายชลวิทย์ สุธา อายุ 30 ปี หรือโอเล่ ชาวบ้านกอก หมู่ 5 ต.ปลาปาก อ.ปลาปาก จ.นครพนม แรงงานไทยในอิสราเอล เปิดใจด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หลังได้รับการช่วยเหลือเดินทางกลับมาถึงประเทศไทย ว่า ตนเองไปทำงานที่อิสราเอล กว่า 4 ปี โดยมีสัญญาจ้าง 5 ปี แต่เมื่อเกิดภัยสงคราม จึงต้องกลับมาก่อนกำหนด เพื่อเอาชีวิตรอด เสมือนได้ชีวิตใหม่ เพราะไม่คิดจะรอดชีวิตกลับมา เนื่องจากการสู้รบมีความรุนแรงกว่าทุกครั้ง จากปกติมีการก่อสถานการณ์ ตลอดแต่ไม่รุนแรงเหมือนครั้งนี้
นายโอเล่ บอกว่า ครอบครัวมีฐานะยากจน อาชีพหลักทำไร่ทำนา พ่อแม่ต้องดิ้นรนต่อสู้ ส่งให้เรียนหนังสือจนจบปริญญาตรี หวังมีงานเป็นเสาหลักครอบครัว จากจำนวนพี่น้องสองคน โดยมีน้องสาวอีกคน สุดท้ายต้องไปทำงานต่างประเทศ เพราะหวังสร้างฐานะให้ครอบครัว เคยฝันอยากมีบ้านใหม่ ยอมเป็นหนี้ให้แม่กู้เงินเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ เป็นงานในฟาร์มเกษตร เนื้อที่กว่า 1 หมื่นไร่ ในเขตเตซามิเตอร์กิม พื้นที่ติดกับชายแดนปาเลสไตน์
ส่วนแคมป์ที่พักอยู่ห่างออกไปประมาณ 10 กว่ากิโลเมตร ฟาร์มเกษตรแห่งนี้ถือว่าได้เงินเดือนสูง ตกประมาณเดือนละ 40,000 - 70,000 บาท ว่าจ้างเป็นรายชั่วโมง ทำงานวันละประมาณ 10 ชั่วโมง แต่ไม่เกิน 12 ชั่วโมง โดยเฉพาะช่วงเก็บผลผลิตจะได้มากถึง 80,000 บาท ส่วนช่วงลงเพาะปลูกผลไม้ เช่น อะโวคาโด องุ่น ส้ม มะม่วง มะนาว ฯลฯ จะได้อยู่ประมาณขั้นต่ำเดือนละ 40,000-60,000 บาท ทำให้เป็นแรงจูงใจคนไทย ไปทำงานต่างประเทศจำนวนมาก
นายโอเล่ กล่าวอีกว่า แม้จะรู้ว่าเสี่ยงภัยอันตราย แต่ยังดีกว่ายอมอดตาย ในรอบ 4 ปีของการทำงาน ได้พยายามเก็บเงินส่งกลับบ้านให้แม่ สิ่งสำคัญคือบ้านหลังใหม่ ถือเป็นน้ำพักน้ำแรง เป็นความสำเร็จ เปลี่ยนชีวิต มีบ้านหลังใหม่ราคากว่า 2 ล้านบาท และมีเงินเก็บไว้บางส่วน ถึงแม้จะเกิดภัยสงคราม
ยอมรับยังคิดถึงประเทศอิสราเอล เพราะพาหนีความจน มาถึงวันนี้หากสงครามสงบ อยากกลับไปทำงานอีก เพราะได้ค่าแรงสูง
ขอบคุณรัฐบาลไทย รวมถึงทหารอิสราเอล ที่ให้การดูแลช่วยเหลือ รอดชีวิตกลับบ้านเกิด หากอนาคตไม่สามารถกลับไปทำงานอิสราเอลได้ อยากให้รัฐบาลหาแนวทางช่วยเหลือ ส่งไปทำงานประเทศอื่น เช่น ประเทศเกาหลีใต้ เพราะมีค่าแรงสูสีกับอิสราเอล ดังนั้นการไปทำงานต่างประเทศ จึงเป็นความหวังของแรงงานไทยทุกคน ที่มีฐานะยากจน