5 กันยายน 2566 ปัญหา "เด็กไร้สัญชาติ" จำนวนมาก ที่เข้ามาอยู่ในระบบการศึกษาของไทย ยังคงเป็นอีกหนึ่งปัญหา ที่ยังไม่มีความชัดเจน ทั้งทางด้านกฎหมาย และการปฏิบัติ จากทางหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบ รวมถึงเกี่ยวข้อง จนก่อนหน้านี้ เกิดกรณี การผลักดัน "เด็กไร้สัญชาติ" จากโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 6 อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ออกนอกประเทศ และดำเนินคดีกับผู้อำนวยการโรงเรียน ซึ่งคดีอยู่ระหว่างการต่อสู้ทางกฎหมาย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ล่าสุด นายปารมี ไวจงเจริญ สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ภายหลังคณะทำงานนโยบายการแก้ไขปัญหาสถานะทางทะเบียนเด็กนักเรียนกลุ่ม G และการแก้ไขปัญหาสถานะบุคคลและสิทธิ พรรคก้าวไกล ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ระหว่างวันที่ 3 - 4 ก.ย. ที่ผ่านมา ว่า ในวันแรกได้เดินทางไปที่วัดสวนดอก เพื่อเก็บข้อมูลเรื่องสามเณร ที่กำลังจะหลุดจากการศึกษา
เพราะระดับ ป.1 - 6 ไม่สามารถเรียน ในโรงเรียนสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ โดยจะนำประเด็นนี้ ไปตั้งเป็นกระทู้ถาม เพราะไม่แน่ใจว่าจริง ๆ แล้วสามเณรสามารถเข้าเรียนใน รร. ของ สพฐ. ได้หรือไม่ เพราะเท่าที่เข้าใจ ไม่มีระเบียบห้ามโดยตรง เพียงแต่มีคำสั่งบางฉบับบอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ จึงต้องตั้งกระทู้ถามในราชกิจจานุเบกษา
นายปารมี กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เพื่อไปดูเรื่อง เด็กรหัส G ทำให้ได้ความคิดหลายอย่าง เพราะจริง ๆ แล้วระเบียบและกฎหมายต่าง ๆ ก็มีหมดแล้ว เพียงแต่ขาดการประสานงาน ซึ่งตอนนี้ครูในหลายโรงเรียน ยังรู้สึกกลัว ๆ กล้า ๆ ที่จะรับเด็กไม่มีเอกสารทางทะเบียนราษฎรเข้าเรียน
ดังนั้น ควรมีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานกลาง ในจังหวัดที่มี เด็กตัว G จำนวนมาก ซึ่งตอนนี้ สพฐ.ได้ทำโครงการนำร่องเด็กตัว G ใน 3 จังหวัดคือเชียงใหม่ เชียงราย และตาก โดยเลือกในบางอำเภอ ของแต่ละจังหวัด ซึ่งมีเด็กที่ขอตัว G ประมาณ 1.8 หมื่นคน โดยจะครบกำหนดโครงการใน 1 ปี เดือนกันยายนนี้ ซึ่งตนจะตามเรื่องว่า เมื่อสิ้นสุดโครงการแล้ว ได้ผลการดำเนินงานเป็นอย่างไรบ้าง
“โครงการนำร่องนี้ เขาจะขจัดอุปสรรคต่าง ๆ และเร่งให้รหัส G เขาอยากรู้ว่า ท่อมันไปตันตรงไหน หากผลการดำเนินงานดี จะได้เอามาเป็นต้นแบบดำเนินการต่อไป แต่ส่วนตัวคิดว่า จำเป็นต้องมีศูนย์ประสานงาน อย่างน้อย 4 ภาคโดยเฉพาะในจังหวัดชายแดน ทั้งที่ระนอง ตราด รวมทั้ง กทม. มีเด็กนักเรียนข้ามชาติจำนวนมาก ที่สำคัญแต่ละศูนย์ ควรมีทั้งกระทรวงศึกษาและมหาดไทย และต้องมีงบประมาณให้ด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่มีการผลักดันเด็ก ไม่มีเอกสารทางทะเบียนราษฎร 126 คนจากโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 6 กลับเมียนมา ทำให้ครูเกิดความไม่มั่นใจในการรับเด็กหรือไม่ สส.พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ตอนนี้ครูในแถบชายแดนกลัวว่า ขาข้างหนึ่งจะก้าวเข้าไปอยู่ในคุก หากรับเด็กที่ไม่มีเอกสารเหล่านี้
เรากำลังรออยู่ว่า สภาผู้แทนฯ จะตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญหรือไม่ ถ้าไม่ตั้งก็สามารถเอาไปดำเนินการ ในคณะกรรมาธิการสามัญได้ ไม่ว่าจะเป็นกมธ.ศึกษา หรือ กมธ.ปกครอง เพราะขอยืนยันว่า อย่างไรพวกตนก็ต้องดำเนินการต่อแน่นอน ขอให้รอนิดหนึ่ง พรรคก้าวไกลจะทำงานในเชิงรุก
“เรื่องเด็ก 126 คน เราสามารถติดต่อพ่อแม่เด็กได้หลายคน แต่ไม่แน่ใจว่าเด็ก ๆ ได้เรียนหนังสือหรือไม่ อย่างไร เรื่องนี้ควรมองเรื่องสิทธิการศึกษาเด็กด้วย”
รร.ฝั่งไทยไม่กล้ารับ 126 นร.ไทยรัฐวิทยา 6 หวั่นติดคุก
ส่วนความคืบหน้า กรณีที่มีการผลักดันเด็กไร้สัญชาติ 126 จากโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 6 กลับเมียนมา ทำให้เด็ก ๆ ต้องออกจากระบบการศึกษากลางคัน จนมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย
ล่าสุดมีรายงานว่า ขณะนี้ สพฐ. ได้เอาชื่อเด็กทั้ง 126 คน ออกจากระบบโรงเรียนแล้ว ทำให้หลายฝ่ายกังวลใจว่า หากเด็กกลุ่มนี้เข้าเรียนในโรงเรียนอื่น จะมีปัญหาหรือไม่ จะส่งผลกระทบกับเด็ก ที่จะเข้าระบบหรือไม่
โดยเด็ก 126 คนเป็นเด็กที่มีรหัส G แล้วจำนวน 54 คน ขณะเดียวกัน มีความพยายามที่จะให้เด็กกลุ่มนี้ ได้เข้าเรียนในโรงเรียนฝั่งไทย แต่ได้รับการปฏิเสธจากโรงเรียนต่าง ๆ ตามชายแดน เพราะเกรงว่า หากรับเด็กเข้าไปอาจถูกดำเนินคดี เหมือนกับผู้อำนวยการโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 6