3 มีนาคม 2566 ที่ จ.เชียงใหม่ สถานการณ์หมอกควัน และฝุ่น PM2.5 ยังคงวิกฤต พื้นที่ตัวเมืองและพื้นที่รอบนอกของ จ.เชียงใหม่ ยังคงถูกปกคลุมด้วยหมอกควันสีขาวขุ่น จนไม่สามารถมองเห็นดอยสุเทพได้ และปริมาณฝุ่น PM2.5 ยังคงอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง
โดยยจุดตรวจวัดค่า PM2.5 ของแอปพลิเคชั่น Air4Thai กรมควบคุมมลพิษ พบว่า ณ เวลา 9.00 น. ที่ตำบลสุเทพ วัดได้ 115 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และสถานีวัดตำบลศรีภูมิวัดได้ 90 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
และยังพบว่าในช่วงเวลา 09.00 น. จังหวัดเชียงใหม่มีค่า AQI สูงเป็น อันดับ 4 ของโลก มีค่าอยู่ที่ 198 ซึ่งถือว่าเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน และคาดการณ์ว่า การสะสมของฝุ่นละอองวันของพรุ่งนี้ (4 มี.ค.) คุณภาพก็ยังจะอยู่ในระดับ เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ
สำหรับตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่ ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลง เนื่องจากถูกหมอกควันปกคลุม ทำให้ผู้ที่สัญจรบนท้องถนน ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ แม้ว่าบริเวณรันเวย์ของสนามบินเชียงใหม่ จะถูกหมอกสีขาวบดบัง ทำให้ระยะการมองเห็นลดลง แต่บินเครื่องบินโดยสาร ยังคงสามารถลงจอดได้ตามปกติ และยังมีรถน้ำทำการฉีดน้ำ เพิ่มความชุ่มชื่นให้กับต้นไม้ บริเวณเกาะกลางถนนในตัวเมืองอีกด้วย
ขณะที่ภายใน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งอยู่ในตำบลสุเทพ ที่ค่าฝุ่น PM2.5 มักจะเกินค่ามาตรฐานและอยู่ใกล้กับดอยสุเทพ นักศึกษาที่ออกมานอกที่พัก ได้เริ่มมีการสวม หน้ากาก N95 แต่ส่วนใหญ่ยังคงสวมหน้ากาก ที่ใช้ป้องกันโควิด-19 และบริเวณอ่างเก็บน้ำของมหาวิทยาลัย ที่ในช่วงที่ไม่มีสถานการณ์หมอกควัน จะเป็นจุดสามารถมองเห็นดอยสุเทพชัดเจน แต่ในวันนี้ถูกบดบังไปด้วยหมอกสีขาวขุ่น
หนึ่งในนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า สภาพอากาศในวันนี้แย่มาก มีฝุ่นควันจำนวนมาก ทำให้วิสัยทัศน์การมองเห็นแย่ลง จึงต้องคอยสังเกตให้มากขึ้น เวลาขับขี่ยานพาหนะ รวมถึงหายใจลำบาก และค่อนข้างตกใจที่เห็นฝุ่นควันในวันนี้ แต่ในขณะเดียวกันถ้าเปรียบเทียบกับทุกปี ก็มีจำนวนมากเช่นกัน
อย่างไรก็ตามฝุ่นควันเป็นสิ่งที่ควรได้รับการแก้ไข หากแก้ให้หายไม่ได้ ก็ควรแก้ให้มันลดลง
ทั้งนี้ ตนได้ปรับตัวในการใช้ชีวิต เช่น ใช้เครื่องฟอกอากาศในที่พัก และหากออกนอกที่พัก จะป้องกันโดยการใช้หน้ากากที่สามารถกันฝุ่นได้ แต่ก็เป็นเหมือนแก้ที่ปลายเหตุ
ขณะที่จุดความร้อน หรือจุด Hotspot ของจังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 1 ม.ค. - 3 มี.ค. 66 เกิดจุดความร้อนทั้งหมด 3,150 จุด มากกว่าปี 2565 ในห้วงเวลาเดียวกันถึง 1,948 จุด ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ