svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

อัปเดตอาการป่วยหมอหนุ่ม เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังตั้งคำถามปัญหาฝุ่น PM2.5

02 มีนาคม 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

แฟนคลับแห่ส่งกำลังเพียบ หลังเจ้าของเพจสู้ดิวะ คุณหมอกฤตไท ธนสมบัติกุล อัปเดตอาการป่วยโรคมะเร็ง อาการล่าสุดไม่ค่อยสู้ดีนัก พร้อมตั้งคำถามปัญหาฝุ่น PM 2.5 "เราต้องเป็นประชาชนที่อยู่ในประเทศที่ต้องซื้ออากาศหายใจจริงๆเหรอ?"

ผู้สื่อข่าวออนไลน์ รายงานความเคลื่อนไหว โดยเจ้าของเพจ สู้ดิวะ "หมอกฤตไท ธนสมบัติกุล"  อัปเดตอาการป่วยโรคมะเร็งปอด ระบุว่า เช้านี้ผมขึ้นตื่นมาพร้อมกับค่าฝุ่น 186 ในห้องที่กำลังรอรับการฉายแสงครับ ผมก็ไม่ได้บอกว่า ฝุ่นควันในเชียงใหม่เป็นปัจจัยเดียวที่ทำให้ผมเป็นมะเร็งหรอกครับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีผล ปัจจุบันผลการศึกษามากมาย มันพิสูจน์มาหมดแล้วครับ



พวกตัวเลขค่าฝุ่นเท่านี้เทียบเท่ากับการสูบบุหรี่กี่มวนอะไรแบบนี้ ลองหาข้อมูลได้เลยครับ และตอนนี้ผมอาการไม่สู้ดีนัก กำลังเข้ารับการรักษาด้วยการฉายแสงให้กับมะเร็งในสมองก้อนใหม่ เวลาของผมเหลือน้อยลงทุกทีแล้วครับ ในระหว่างที่ผมนั่งอยู่ในห้องพักโรงพยาบาล ผมก็คิดว่า ยังมีเรื่องไหนที่ผมอยากพูด แต่ยังไม่ได้พูด!!

หนึ่งในนั้นก็คือ เรื่อง ฝุ่น PM 2.5 อย่างที่ทุกท่านทราบตัวผมเองเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลที่ชอบออกกำลังกายมากครับ แน่นอน ถึงผมจะพอมีความรู้ แต่ผมก็คือวัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่ง ที่ความฝันในการได้แชมป์บาสเกตบอลของผมมันใหญ่มากพอที่จะทำให้ผมไปซ้อมในวันที่ค่าฝุ่นแย่มากๆ

อัปเดตอาการป่วยหมอหนุ่ม เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังตั้งคำถามปัญหาฝุ่น PM2.5

ผมก็มองว่าร่างกายผมเนี่ยก็น่าจะฟิตอยู่แหละ เราไปออกกำลังกายได้ฝึกปอดฝึกหัวใจ สูดฝุ่นหน่อย ก็หักล้างกันไป ไม่เป็นไรหรอก คนอื่นก็สูดกัน ไม่เป็นไรหรอกน่า แล้วผมก็เป็นมะเร็งปอดครับ ผมต้องทำทุกวิถีทางเพื่อต่อสู้กับโรคมะเร็ง ติดเครื่องฟอกอากาศ ทำห้องความดันบวก เพื่อให้อากาศมันสะอาดจริงๆ

อัปเดตอาการป่วยหมอหนุ่ม เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังตั้งคำถามปัญหาฝุ่น PM2.5

คำถามที่ผมมี คือมันเป็นความรับผิดชอบของประชาชนจริงหรือไม่ ที่ต้องแบกรับค่าหน้ากาก ค่าเครื่องฟอก ประชาชนหลายอาชีพเองก็ไม่ได้สะดวกพอที่จะหลีกเลี่ยงฝุ่นอันตรายนี้ ไม่ได้มีเงินมากพอที่จะติดตั้งเครื่องมือที่จะเพิ่มคุณภาพอากาศที่พวกเขาต้องหายใจเข้าไปทุกวันนี้

มันน่าเศร้ามากเมื่อมองว่าความเหลื่อมล้ำของประเทศเรามันไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจแต่เป็นตั้งแต่พื้นฐานเรื่องของอากาศหายใจที่แสนจะสำคัญต่อชีวิตคน เราต้องเป็นประชาชนที่อยู่ในประเทศที่ต้องซื้ออากาศหายใจจริงๆ เหรอ? ผมไม่ใช่นักการเมือง และผมไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการ ผมเป็นเพียงประชาชนที่เกิดคำถามเชิงโครงสร้างต่อ

“การจัดลำดับและให้ความสำคัญกับคุณภาพอากาศที่ประชาชนอย่างเราหายใจกันอยู่ทุกวันนี้” ผมคิดแบบตรรกะของคนทั่วไปเลยคือเราต้องเริ่มแก้ปัญหา PM2.5 ให้ตรงจุดก่อนไหมครับ ต้องมีการจัดลำดับความสำคัญหรือให้น้ำหนักกับการแก้ไขปัญหาที่แหล่งกำเนิดของ PM2.5 อย่างจริงจังมากพอ มันจะต้องมีหน่วยงานจริงจังขึ้นมาแล้ว เพื่อร่วมมือกันแก้ปัญหานี้ คนเก่งๆในประเทศเรามีเยอะแยะ งบประมาณเราก็มี นักการเมืองก็มี นักวิชาการก็มี ประเทศเรา ติดอันดับปัญหาฝุ่นในระดับโลก กันมาติดต่อกันหลายปี ทำไมเราถึงยังไม่เห็นความชัดเจนในการให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพอากาศ หรือความชัดเจนในการพยายามหาต้นตอของปัญหาเฉพาะแต่ละพื้นที่ มันไม่ใช่แค่การเผาป่า หรือปัญหารถติด มันมีหลายสาเหตุแหละครับที่ทำให้มีปัญหาฝุ่น

อัปเดตอาการป่วยหมอหนุ่ม เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังตั้งคำถามปัญหาฝุ่น PM2.5

แต่ประเทศไทยกลับยังไม่มีงานศึกษาที่ชัดเจนและลงลึกถึงสาเหตุ PM 2.5 หลัก ๆ ในประเทศไทยว่าตกลงอะไรคือสาเหตุหรือแหล่งกำเนิดหลักของ PM2.5 ในประเทศไทยแต่ละภาคส่วนกันแน่ มันต้องมีการวิเคราะห์และไปแตะสิ่งที่เป็นรากฐานของปัญหาของฝุ่น PM2.5 อย่างแท้จริงสิ บ้านเราจึงจะสามารถแก้ไขปัญหาฝุ่นได้อย่างยั่งยืนสักที จริงไหมครับ

เราจะแก้ปัญหาฝุ่นควันแบบเป็นปัญหา “เร่งด่วน” ไปทุกปีแบบนี้ไม่ได้นะครับ ผมน่ะ คงอยู่ได้ไม่นานหรอกครับ แต่เด็กน้อยแสนน่ารักที่ทักทายผมในลิฟท์หลังจากที่ผมไปฉายแสงมาเมื่อวาน

ผมแค่คิดว่าเด็กเหล่านั้นไม่ควรต้องมารับความเสี่ยงกับโรคร้ายหรือภาวะเจ็บป่วยเหมือนกับผม เขาควรจะได้มีสิทธิพื้นฐานของมนุษยชาติ คือการได้มีอากาศสะอาดหายใจ ได้เล่นบาสกับเพื่อนกลางแจ้ง โดยที่ไม่ต้องใส่หน้ากาก

เขาไม่ควรต้องมาซื้ออากาศหายใจครับ ผมเพียงหวังให้เขาจะได้อยู่ในประเทศที่อากาศที่สะอาด และมีชีวิตที่สดใสร่าเริงไปได้นานที่สุดครับ
 

ชวนคอข่าวมาร่วมติดตามอ่านโพสต์ก่อนหน้านี้ของ"คุณหมอหนุ่มผู้ปวยโรคมะเร็ง" 

“ดอยสุเทพเป็นศรี ประเพณีเผ่าป่า จะไปตังไดก่อแสบต๋า บ่ไหวละก้า นครพิงค์”

สวัสดีครับ วันนี้จะมาชวนคุยเรื่องปัญหาฝุ่นควันหน่อยครับ ออกตัวก่อนเลยครับ ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม และแม้แต่ในมุมหมอเองผมก็ไม่ใช่แพทย์เฉพาะทางโรคปอดครับ ดังนั้นสิ่งที่ผมจะมาชวนคุยในวันนี้เป็นเรื่องที่ไม่ได้ลงลึกหรือเป็นการแนะนำอะไรเลยครับ เท่าที่ผมทราบก็มีผู้เชี่ยวชาญ มีอาจารย์ที่มีองค์ความรู้มีประสบการณ์ และผู้มีอุดมการณ์ในการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของประเทศเรากำลังขับเคลื่อนให้ส่วนกลางและโครงสร้างประเทศขยับเพื่อแก้ปัญหานี้อยู่ครับ

ส่วนตัวผมเองวันนี้มาคุยกันในฐานะประชาชนคนไทยที่ก็ประสบปัญหาจากฝุ่นควันนี้โดยตรงครับ วันนี้ผมเพียงแค่จะมาแชร์เรื่องที่ผมพอจะทราบ และข้อมูลที่น่าจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านเช่นเคยครับ ผมคิดว่าเราคงไม่ต้องเกริ่นเรื่องปัญหาฝุ่นควันกันมากครับ เราพอจะรู้ปัญหานี้กันอยู่แล้ว ทั้งการติดอันดับโลกของฝุ่นในประเทศเรา สภาพอากาศที่ทุกท่านเห็นในทุกวัน ตัวเลขผู้ป่วยที่มากขึ้นทุกปี ในมุมของผม เท่าที่ผมจำความได้คือช่วงที่ผมเป็นนักศึกษาแพทย์ช่วงปีสองเนี่ยแหละครับ ที่เริ่มเห็นว่าฝุ่นในจังหวัดเชียงใหม่นั้นเริ่มเยอะจนน่าตกใจจริงๆ อย่างที่ทุกท่านทราบตัวผมเองเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลที่ชอบออกกำลังกายมากครับ

แน่นอน ถึงผมจะพอมีความรู้ แต่ผมก็คือวัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่ง ที่ความฝันการได้แชมป์บาสเกตบอลของผมมันใหญ่มากพอให้ผมก็ยังไปซ้อมในวันที่มีฝุ่น รวมถึงรูปแบบการทำงานของผมที่อาจจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงฝุ่นได้ตลอดเวลา ทั้งการราวน์คนไข้ การอยู่เวร แต่ผมก็มองว่าร่างกายผมเนี่ยก็น่าจะติดอันดับวัยรุ่นที่ร่างกายฟิตอันดับต้นๆ อยู่แหละน่า เราไปออกกำลังกายได้ฝึกปอดฝึกหัวใจ สูดฝุ่นหน่อย ก็หักล้างกันไป ไม่เป็นไรหรอก คนอื่นก็สูดกัน ไม่เป็นไรหรอกน่า แล้ว ผมก็เป็นมะเร็งปอดครับ พูดบ่อยเหมือนกันนะครับ คำว่า “แล้ว ผมก็เป็นมะเร็งปอดครับ” เนี่ย

โอเค ผมไม่ได้บอกว่าฝุ่นควันในเชียงใหม่เป็นปัจจัยเดียวที่ทำให้ผมกลายเป็นมะเร็งปอด เพราะก็มีคนอื่นที่สูดฝุ่นเหมือนกัน การเกิดมะเร็งในปอดผมมันเกิดจากหลายปัจจัยรวมๆกัน โดยเฉพาะตัวหลักคือกรรมพันธุ์ของครอบครัวผม แต่ กรรมพันธุ์มันก็เหมือนกับลูกโม่ที่อยู่ในปืนแหละครับ ส่วนสิ่งแวดล้อมที่เราเจอมันก็เหมือนคนลั่นไกปืนนั้น เราเปลี่ยนพันธุกรรมและสายเลือดเราไม่ได้ก็จริง แต่เราน่าจะจัดการกับสิ่งแวดล้อมได้นะครับ
 

เพราะผมเองก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าเรื่องฝุ่นควันนี่แหละที่เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่เพิ่มโอกาสการเกิดมะเร็งปอดครับ


ปัจจุบันผลการศึกษา งานวิจัยในห้องทดลอง งานวิจัยคลินิก งานวิจัยในระดับชุมชน มันพิสูจน์มาหมดแล้วครับ พวกตัวเลขค่าฝุ่นเท่านี้เทียบเท่ากับการสูบบุหรี่กี่มวนอะไรแบบนี้ ลองหาข้อมูลได้เลยครับ มีเยอะแยะ ทุกท่านสามารถไปหาข้อมูลเพิ่มได้เลยครับ ว่ามันทำให้เกิดอะไรกับร่างกายพวกคุณยังไงบ้าง?

ตัวที่ดูอันตรายชัดๆอย่างพวกฝุ่นที่มีขนาดเล็กอย่าง PM2.5 มันจะสามารถผ่านขนจมูก ผ่านการกรองในร่างกายของเราเข้าไปได้เลย เอาคร่าวๆคือสูดปุ้บ เข้าเส้นเลือดเลย นึกออกไหมครับ เราสูดปุ้บ ฝุ่นเล็กๆนี้มันสามารถผ่านทุกกำแพงของร่างกายแล้วพุ่งเข้าสู่เส้นเลือดเราได้โดยตรงเลย จากนั้นมันก็ไปแสดงพลังทั่วร่างเรานั่นแหละครับ

ดังนั้น พวกผลกระทบต่อร่างกาย เอาที่ผมนึกออกเร็วๆตอนนี้เลยก็คือ ถ้าเด็กสูดฝุ่นขนาดเล็กแบบนี้เข้าไป จะทำให้เป็นภูมิแพ้ เป็นหอบหืด สมองทำงานได้แย่ลง ฉลาดน้อยลง คุณครับ อนาคตของชาตินะครับเนี่ย ถ้าเป็นวัยรุ่นสูดไปก็เนี่ยครับ เป็นมะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร ในคนอายุน้อยๆ เป็นโรคถุงลมโป่งพอง เหมือนคนสูบบุหรี่อะครับ ทั้งๆที่คนเหล่านั้นไม่ได้สูบแต่แค่เขาหายใจในอากาศแบบนี้ก็เหมือนสูบแล้วครับ นอกเหนือจากนี้ มันยังทำให้เส้นเลือดอักเสบ ส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง เป็นแขนขาอ่อนแรง โรคหลอดเลือดหัวใจ เส้นเลือดหัวใจตีบ หรือไปทำให้สมองเสื่อม ความจำแย่ลง อะไรก็ได้หมดครับเพราะฝุ่นนี่มันเข้าไปในเส้นเลือดคุณแล้ว

ผมไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ และผู้อ่านเองก็ไม่จำเป็นต้องไปอ่านวิจัยทางการแพทย์ แต่ทุกท่านก็คงพอเห็นภาพความอันตรายของมันพอสมควรอยู่แล้วนะครับ คราวนี้มุมที่ผมอยากจะมาแชร์วันนี้เป็นเรื่องแนวทางการจัดการกับตัวเองเพื่อป้องกันฝุ่นอันตรายเหล่านี้มากกว่าครับ เพราะตั้งแต่เปิดเพจมา มีคนที่อายุใกล้เคียงกับผมแล้วเป็นมะเร็งกันเยอะมากกว่าตัวเลขที่ประเทศเราเคยประกาศไว้เยอะมากครับ ประชาชนคนไทยที่อายุน้อย ที่เป็นความหวังของมนุษยชาติ เราเจ็บป่วยและเป็นมะเร็งกันเยอะขึ้นจริงๆ ครับ

ผมหวังว่าสิ่งที่เอามาแชร์วันนี้จะช่วยทำให้ คนที่ยังโชคดีไม่เกิดปัญหาสุขภาพเหล่านั้น จะยังคงมีสุขภาพดีแบบนั้นต่อไปครับ

ประเด็นแรกผมคงต้องพูดถึงเรื่องการติดตามค่าฝุ่นก่อนเลยครับ ค่าที่เรานิยมดูคือค่า AQI (air quality index) เป็นดัชนีบอกคุณภาพของอากาศครับ ซึ่งเอาคร่าวๆ ค่านี้เป็นค่าที่บอกว่าอากาศที่เราหายใจอยู่นั้นมีสิ่งแปลกปลอมปนอยู่เยอะแค่ไหน ซึ่งมันประกอบไปด้วยหลายอย่างครับ ฝุ่นก็มีหลายขนาด เช่น สมมติเราเจอค่าฝุ่น AQI 150 อาจจะมีค่า PM2.5 อยู่ 80 อะไรแบบนี้ครับ

ประเด็นสำคัญต่อไปคือ แล้วเขาวัดค่า AQI นี้ยังไง ถ้าเอาจากแอพที่เป็นที่นิยมที่สุดน่าจะเป็น IQAir ซึ่งเครื่องที่จะทำตัวเป็นศูนย์วัดค่าฝุ่นได้ จะต้องได้รับการยอมรับจากต้นสังกัดว่าคุณมีเครื่องมือที่เชื่อถือได้ในการวัดครับ ดังนั้นเราจะตีความเรื่องนี้ได้ว่า ค่าที่เราเห็นเป็นค่าของจุดที่มีเครื่องวัดที่ได้รับการรับรองนะ ไม่ได้แปลว่า ณ จุดที่เราอยู่มีค่าฝุ่นเท่านั้นจริงๆ

ส่วนเครื่องที่เราซื้อวัดกันเอง หรือค่าที่แสดงในเครื่องฟอกอากาศในบ้าน มักจะเป็นค่า PM2.5 ใช่ไหมครับ ซึ่งจากที่ผมสังเกตคือค่า PM2.5 จะมีค่าประมาณครึ่งนึงของ AQI ครับ แต่ตรงนี้ไม่ใช่ค่าแท้จริง เป็นเพียงค่าการประมาณนะครับ ดังนั้นถ้าเครื่องฟอกสีขาวในห้องของท่านแสดงค่า PM2.5 เป็น 100 แปลว่าที่จริงแล้วคุณภาพอากาศในห้องคุณน่าจะปนเปื้อนที่ 200 บวกๆครับ ซึ่งถามว่าแค่ไหนถึงน่ากลัว เท่าที่ผมทราบองค์กรอนามัยโลกตั้งไว้ที่ PM2.5 เฉลี่ยต่อวันเกิน 37.5 ถือว่าอันตรายกับสุขภาพมนุษย์แล้วครับ

คราวนี้พอเราสามารถติดตามได้แล้วว่าค่าฝุ่น ณ จุดที่เราอยู่เป็นเท่าไร ถ้ามันสูงเราก็ต้องหาทางทำให้ร่างกายเราโดนฝุ่นน้อยที่สุดเนาะ ซึ่งวิธีการเหล่านั้นก็ตรงไปตรงมาครับ ง่ายที่สุดคือลดการสูดฝุ่นเลยครับ ลดการออกกำลังกายกลางแจ้ง หรืออะไรก็ตามที่สามัญสำนึกของทุกท่านทราบดีอยู่แล้วว่ามันทำให้เราจะต้องสูดฝุ่นอันตรายเหล่านี้เข้าไปในร่างกายมากขึ้น ก็หลีกเลี่ยงมันเถอะครับ ผมไม่ได้บอกว่าทุกคนที่สูดฝุ่นแล้วจะต้องเป็นมะเร็ง แต่การที่ผมเป็นมะเร็งเนี่ย มันก็น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีของเรื่องการเพิ่มโอกาสเสี่ยงนะครับ

ในส่วนของการใส่หน้ากากที่ต้องกรองฝุ่นขนาดเล็กอย่าง PM2.5 ได้ ไม่ใช่แค่หน้ากากธรรมดาที่เราใส่แน่ๆ เพราะฝุ่นมันขนาดเล็กมากพอที่จะลอดผ่านเส้นใยของหน้ากากธรรมดาเข้าไปสู่ขั้วปอดเราได้ ดังนั้น ในช่วงที่ฝุ่นเยอะเราต้องใส่หน้ากากที่จริงจังขึ้น อาจจะเป็นหน้ากาก N95 หรือหน้ากากอะไรที่ใส่แล้วอึดอัดหน่อยเพื่อกรองฝุ่นพวกนี้ออกไปให้มากที่สุดครับ เรื่องเครื่องฟอกเองก็ดูตรงไปตรงมา ทุกวันนี้ผมก็ใช้ทั้งในห้องนอน และในรถยนต์ ที่ผมอยากเสริมคือไม่ว่าจะใช้ของยี่ห้อไหน ราคาเท่าไร สิ่งที่สำคัญคือทุกท่านควรทราบว่าการฟอกอากาศนั้นเป็นการวนเอาอากาศในห้องมาทำให้สะอาดขึ้นเท่านั้น อากาศใหม่ที่เข้ามาจากด้านนอกยังคงมีฝุ่นขนาดที่เล็กมากพอจะผ่านเนื้อเยื่อเราไปได้ ทำไมมันจะผ่านช่องหน้าต่างประตูเข้าห้องเรามาไม่ได้ละครับ

ดังนั้นหลายๆ ครั้ง ในวันที่ฝุ่นเยอะมากๆ ต่อให้เราปิดประตูหน้าต่างมิดชิด เครื่องฟอกก็ยังไม่สามารถฟอกให้ฝุ่นลงไปจนหมดได้ เพราะมันยังมีแรงดัน มีฝุ่นที่เล็ดลอดเข้ามาได้อยู่ดีครับ ที่สำคัญคือบางร้านอาหาร ร้านกาแฟที่เป็นร้านปิด เองก็ไม่ได้มีเครื่องฟอกด้วยนะครับ แถมประตูเปิดปิดบ่อยด้วย บางทีผมไปนั่งร้านกาแฟแล้วลองเปิดเครื่องวัดฝุ่นดู ก็พบว่าค่า PM2.5 ในร้านนั้นก็อยู่ในช่วงเกือบๆ 100 อยู่นะครับ

คราวนี้หลังจากที่ผมป่วยเป็นมะเร็งปอด ผมเองก็ต้องจริงจังกับเรื่องฝุ่นนี้มากขึ้น ผมจึงได้มาพบกับหลักการของห้องแรงดันบวกครับ หลักการคร่าวๆของมันคือ เราจะทำการสร้างห้องปิดขึ้นมา เสร็จแล้วเราก็ใช้เครื่องกรองที่มีคุณภาพมากๆ ทำความสะอาดอากาศก่อนที่จะเข้ามาสู่ห้องเรา อากาศที่เข้ามาสู่ห้องเราจะเป็นอากาศสะอาดเท่านั้น แล้วพอเราดันอากาศมาในห้องแบบนี้จะทำให้ในห้องเรามีแรงดันเป็นบวก ส่งผลให้แรงดันนั้นไปปิดรูรั่วที่ปกติจะมีฝุ่นไหลเข้ามาได้ด้วย หลักการนี้ใช้กับพวกห้องผ่าตัดเลยครับ นึกภาพว่าในห้องผ่าตัดเราคงไม่ยอมให้ฝุ่นหรือแมลง ลงไปติดลำไส้คนไข้ใช่ไหมครับ

หลังจากที่ผมตัดสินใจติดตั้งเครื่องแรงดันบวกนี้ คุณภาพอากาศในห้องผมดีขึ้นมาก เครื่องฟอกในห้องเองก็ทำงานได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถฟอกจนอากาศสะอาดได้จนสุดเลย แล้วก็มีการเติมอากาศสะอาดใหม่เข้ามาตลอดเวลาด้วย ถ้ามีท่านที่สนใจจะติดเครื่องแรงดันบวกนี้ ท่านต้องปรึกษากับทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญก่อนนะครับ ตัวผมเองก็ไม่ได้เซียนพอจะสอนหลักการอะไรครับ เอาเป็นว่าถ้าสนใจ ลองหาทีมงานปรึกษาดูครับ สำหรับท่านที่อยู่เชียงใหม่ สามารถทักมาถามทีมงานที่ผมตัดสินใจปรึกษาได้ครับ โอเคครับ สิ่งที่ผมอยากจะมาแชร์น่าจะมีเท่านี้ครับ แต่สิ่งที่ผมอยากมาตั้งคำถามมันมีต่ออีกนิดหน่อย

คำถามของผมต่อโครงสร้างการบริหารประเทศ คือมันเป็นความรับผิดชอบของประชาชนจริงหรือไม่ ที่ต้องแบกรับค่าหน้ากาก ค่าเครื่องฟอก รวมถึงเครื่องแรงดันบวก เรา- ต้องเป็นประชาชน ที่อยู่ในประเทศที่ต้องซื้ออากาศหายใจจริงๆ เหรอ? ทำไมเราถึง..ยังไม่เห็นความชัดเจนในการให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพอากาศ หรือความชัดเจนในการพยายามหาต้นตอของปัญหาเฉพาะแต่ละพื้นที่ มันไม่ใช่แค่การเผาป่า หรือปัญหารถติด มันมีหลายสาเหตุแหละครับที่ทำให้มีปัญหาฝุ่น แต่ประเทศไทยกลับยังไม่มีงานศึกษาที่ชัดเจนและลงลึกถึงสาเหตุ PM 2.5 หลัก ๆ ในประเทศไทยว่าตกลงอะไรคือสาเหตุหรือแหล่งกำเนิดหลักของ PM2.5 ในประเทศแต่ละภาคส่วนกันแน่

นโยบายหาเสียงหรือแผนการรับมือต่างๆก็ทำกันแบบเร่งด่วนทุกปี เราจะไม่แก้ปัญหาคุณภาพอากาศของประเทศกันแบบยั่งยืนจริงหรอครับ?

ขอบคุณภาพจาก อ.นพ. รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์

โพสต์นี้ ทำเอาน้ำตาจะไหล !! สวัสดีครับทุกคน ผมสบายดีครับ ยังสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้แทบจะปกติครับ ผมเพิ่งรับเคมีบำบัดครั้งที่สาม มาเมื่อวันพุธที่ผ่านมาครับ รอบนี้เพลียมากๆเลยครับ ง่วงทั้งวัน ตื่นมากินข้าวแล้วก็หลับต่อ เรียกได้ว่านอนจนจะเป็นแผลกดทับครับ วันนี้มีแรงมากขึ้นแล้วครับ ออกมาทานข้าวนอกบ้าน อยากไปออกกำลังกายแล้ว แต่ฝุ่นเชียงใหม่ก็เริ่มน่ากลัวเกินกว่าจะเอาปอดไปเสี่ยง ไม่อยากจะคิดถึงฝุ่นช่วงพีคเลย คงต้องเก็บตัวอยู่ในห้องไม่ก็ย้ายจังหวัดชั่วคราว แต่เอาจริงช่วงพีคนี่ย้ายไปจังหวัดไหนก็คงพอกัน

ยังไงก็ตามครับ ช่วงก่อนที่จะรับยารอบสามนี้ มีเรื่องสนุกเกิดขึ้นครับ ต้องบอกว่าตัวผมเองปกติแล้วออกกำลังกายหนักถึงหนักมากครับ แต่พอมาเข้ารับการรักษาในช่วงเดือนแรก ลำพังแค่ยืนให้ตรงก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว เพราะงั้นการออกกำลังกายจึงไม่ได้ทำเลยครับ วันๆก็กินกับนอน บวกกับช่วงแรกเป็นช่วงประชดชีวิต อะไรที่เคยไม่กิน เราก็กินหมดเลย ของทอด ของมัน หมูกรอบ สามชั้นขนมเค้ก น้ำหวาน เรียบร้อยครับ ไขมันสูง ผมได้เริ่มกินยาลดไขมันในเลือดครับ…แต่ดีนะครับ มันทำให้ผมมีเป้าหมายระยะสั้นขึ้นมาเลย ว่าเราจะต้องกลับมามีวินัยดูแลตัวเองแล้ว คือในช่วงรับการรักษามันจะต้องกินเยอะๆครับ เพราะโดยทั่วไปเราจะน้ำหนักลดอยู่แล้ว คราวนี้เราต้องเน้นไปที่การกินของดี พวกอกไก่ ไข่ขาว ธัญพืช แป้งดีๆ ลดน้ำตาล ลดไขมันให้มากที่สุด บวกกับเริ่มออกกำลังกายด้วย ซึ่งจริงๆแล้วเหตุผลในการที่ผมจะกินแต่ของอร่อยและไม่ออกกำลังกายมีเต็มไปหมดเลย แถมเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นด้วย

แต่ผมก็เลือกกลับมาจริงจังกับเรื่องโภชนาการ และการออกกำลังกาย ในวันที่ฝุ่นน้อยๆ ผมจะเริ่มจากการออกไปเดิน พยายามเดินให้ได้หมื่นก้าวซึ่งมันใช้เวลานานมาก เดินได้สักพักก็เริ่มรู้สึกว่าเราต้อง วิ่งดิวะ!! ผมก็ค่อยๆ ลองวิ่ง ผมวิ่งได้จริงๆครับ ถึงจะยังไม่ใช่ความเร็วเท่าเดิม แต่วิ่งได้ คุมการหายใจได้ แรกๆก็วิ่งได้ไม่กี่นาที แต่พอทำไปเรื่อยๆก็เริ่มวิ่งได้ระยะทางเพิ่มขึ้นในแต่ละวัน ช่วงแรกจะปวดขามากๆ เพราะกล้ามเนื้อมันหายไปเยอะมากช่วงที่นอนโรงพยาบาล ต้องซ้อมอยู่หลายวันกว่าจะวิ่งต่อเนื่องได้สิบห้านาที ผมเลยต้องเวทเทรนนิ่งควบคู่ไปด้วย ล่าสุดก่อนรับยารอบนี้ก็เล่นได้ทุกท่านะ แต่น้ำหนักลดลงจากที่เคยยกได้มากๆ ก็ค่อยๆซ้อม ค่อยๆหาสมดุลของร่างกาย เรียกความฟิตกลับมาเท่าที่ไหว หวังว่าวันหนึ่งจะกลับไปเล่นบาสได้

ซึ่งการทำอะไรพวกนี้ มันรู้สึกว่าได้มีบางส่วนของชีวิตที่เราพอจะพยายามเพื่อเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของมันได้บ้าง ในส่วนของสิ่งที่เราทำได้แค่เชื่อ และภาวนา คือเรื่องการตอบสนองต่อยาเคมีบำบัดและภูมิคุ้มกันบำบัด ส่วนนี้เป็นสิ่งที่เราทำได้แค่ภาวนาให้น้องมะเร็งตอบสนองกับยาที่ให้ไปเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันเอกซเรย์ปอดดูดีขึ้นครับ ก้อนใหญ่ด้านขวามีขนาดเล็กลง และก้อนน้อยๆ ที่ปอดซ้ายก็ดูจางลงครับ ผลข้างเคียงที่ชัดๆก็มีแค่เรื่องผมร่วง กับอ่อนเพลีย ยังไม่มีผลข้างเคียงรุนแรงอะไร

ผมเป็นคนที่เชื่อในวิทยาศาสตร์และหลักการทางวิจัยก็จริง การที่มันตอบสนองก็คงมีกลไกของยาตามที่การศึกษาได้บอกไว้ แต่อีกส่วนหนึ่งผมก็เชื่อว่าเป็นเพราะมีผู้หวังดีหลายๆท่าน ทั้งที่ผมทราบ และที่ผมไม่ทราบ ได้ทำการภาวนา สวดมนต์ทำบุญ รวมถึงอีกหลากหลายวิธีที่ผมก็เพิ่งรู้ว่ามันส่งพลังได้ เพื่อที่จะส่งมอบพลังดีๆให้กับผมเพื่อให้โรคนี้สงบ ให้ผมมีสุขภาพแข็งแรง ผมขอบพระคุณจากใจจริงครับ ผมเชื่อจริงๆ ว่า ส่วนของสิ่งที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์นี้ล้วนประกอบกันทำให้ ณ ปัจจุบัน การรักษาของผมจึงเป็นไปได้ด้วยดี ตัวผมเองก็สวดมนต์ทำบุญอยู่ตลอด และหวังว่าทุกท่านที่ส่งต่อพลังดีๆให้ผมจะได้พบเจอสิ่งดีๆ ในชีวิตเช่นกันครับ ณ ตอนนี้ดูเหมือนเรื่องราวจะไปได้สวย โรคดูเหมือนจะตอบสนอง แต่ยังไงก็ตามเราต้องไปติดตามหลังจากได้รับการรักษาครบอีกที แล้วหลังจากนั้นก็ต้องไปดูด้วยว่าก้อนในหัวเล็กลงไหม มีก้อนใหม่ขึ้นที่อื่นในร่างกายไหม การต่อสู้นี้ยังอีกยาวไกลครับ แต่ตอนนี้ แค่วันนี้เท่านั้น ที่ผมมีแรงลุกขึ้นมาเดิน มาวิ่งได้ ออกมากินข้าว และมาพิมพ์โพสต์นี้ได้

วันนี้เท่านั้นที่ผมมี และผมจะไม่ใช้ วันนี้ ไปกับการนั่งคิดว่าโรคผมจะโตขึ้นหรือลุกลามเยอะขึ้นเมื่อไร ผมจะใช้วันนี้เตรียมร่างกายให้ดีที่สุด ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตให้สนุกและมีสุขภาพที่แข็งแรงครับ

อัปเดตอาการป่วยหมอหนุ่ม เจ้าของเพจสู้ดิวะ หลังตั้งคำถามปัญหาฝุ่น PM2.5

 

logoline