ครอบครัวเหยื่อ สห.ปืนโหด ลั่นไม่ให้อภัย หวิดรุมสกัมที่โรงพักเมืองนครพนม

ความคืบหน้าคดีที่ สิบโท มานิตย์ จันทะพินิจ หรือ สห.วิทย์ สารวัตรทหาร (สห.) มณฑลทหารบกที่ 210 (มทบ.210) ค่ายพระยอดเมืองขวาง บ้านพระยอด ต.กุรุคุ อ.เมืองนครพนม ใช้อาวุธปืนพกกระหน่ำยิง สิบตรี วัชระ อินาลา หรือ สห.เกิ้ล เพื่อนรุ่นน้องค่ายเดียวกัน เสียชีวิตคาที่ ขณะเข้าเวรป้อมยามรักษาการณ์ บริเวณทางเข้า-ออกค่ายพระยอดเมืองขวาง ซึ่งช่วงกลางดึกวานนี้ (19 ส.ค.)ต่อมา ส.ท.มานิตย์ ได้เข้ามอบตัวหลังทนแรงกดดันไม่ไหว พร้อมอ้างลงเพราะขัดแย้งเรื่องส่วนตัว และไม่เคารพรุ่นพี่ (อ่านข่าว)

ล่าสุด วันนี้ (20 ส.ค.) ที่ สภ.เมืองนครพนม ตำรวจได้นำตัว ส.ท.มานิตย์ มาสอบสวนอีกครั้ง ท่ามกลาง สื่อมวลชน และญาติผู้เสียเสียชีวิต รอติดตามหน้าห้องสอบสวน โดยภรรยา ส.ต.วัชระ ผู้เสียชีวิต พร้อมลูกชายวัยไม่ถึงเดือนและญาติ มารอดูหน้า มือปืนเพื่อสอบถามว่า ยิงแฟนทำไม โกรธแค้นเรื่องอะไร ก่อนที่ทางตำรวจได้ให้ภรรยาเข้าไปสอบถาม มือปืน แล้วเดินออกมาแล้วร้องไห้ บอกกับผู้สื่อข่าวถึงสาเหตุที่ยิงเพียงไม่เคารพรุ่นพี่ ทำให้ภรรยาเสียใจ และไม่ยอมให้อภัยกับมือปืนรุ่นพี่ที่ก่อเหตุ

จากนั้นหลังจากสอบสวนเสร็จ ตำรวจนำตัว ส.ท.มานิตย์ เข้าไปคุมขังเพื่อรอส่งศาลทหารในวันพรุ่งนี้เช้า โดยไม่มีการทำแผนประกอบรับคำสารภาพ เนื่องจากผู้ต้องหาไม่สมัครใจและเป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหา ระหว่างออกจากห้องสอบสวนทาง ระหว่างนั้นได้เกิดเหตุชุลมุนขึ้นเมื่อทางญาติผู้เสียชีวิตได้เข้ามาจะทำร้าย ส.ท.มานิตย์ เจ้าหน้าที่พยายามกันไว้ ก่อนนำตัวเข้าไปห้องขังต่อไป เพื่อรอทำแผนก่อนส่งศาลมณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี ดำเนินคดีตามกฎหมาย

ส่วนที่ บ้านเลขที่ 64 หมู่ 7 บ้านไทยเจริญ หมู่ 7 ต.โพนแพง อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ซึ่งเป็นสถานที่จัดพิธีศพของ ส.ต.วัชระ นางอัมรา อินาลา อายุ 64 ปี แม่ของ ส.ต.วัชระ ยังคงอยู่ในสภาพอาการช็อกรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นอนร้องไห้ฟูมฟายด้วยความเสียใจ ตั้งแต่ทราบข่าววันเกิดเหตุไม่ยอมกินข้าว เพราะผู้ตายคือเสาหลักของครอบครัว

นางอัมรา ร่ำไห้ด้วยความแค้น อยากถามคนก่อเหตุว่า ทำร้ายลูกชายทำไม จิตใจโหดเกินคน ทั้งที่เป็นเพื่อนรุ่นพี่คนสนิท และทำงานด้วยกัน ที่สำคัญยังเคยมานั่งกินข้าวที่บ้านหลายครั้ง ตนยังได้หาข้าวปลาอาหารให้กินและรักเสมือนลูก สุดท้ายกลับมาก่อเหตุฆ่ากันเอง ซ้ำร้ายลูกชายเพิ่งไปทำงานเข้าเวรวันแรก หลังจากลา 15 วันเพื่อดูแลภรรยา คลอดบุตรชาย ยังไม่ถึงเดือน หลานชายต้องมากำพร้าพ่อ อนาคตครอบครัวต้องมาพังหมด อยากให้คนก่อเหตุรับกรรม เชื่อว่าเวรกรรมมีจริง สุดท้ายต้องชดใช้กรรมที่ก่อไว้ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าลูกชายจะอายุสั้นแบบนี้ ไม่เคยมีลางสังหรณ์บอกเหตุ ลาพักงานไปดูภรรยาคลอดลูก กลับมาหากราบวันแม่ เมื่อวันที่ 12 ส.ค. ที่ผ่านมาไม่คิดว่าจะเป็นกราบลาครั้งสุดท้าย

น.ส. สกาวเดือน ขันจันทร์ เมียผู้ตาย เปิดเผยว่า วันนี้ยอมอุ้มลูกชายเพิ่งคลอดไม่ถึงเดือนและยังมองไม่เห็นหน้าพ่อ มาดูหน้าคนก่อเหตุ อยากถามว่าสาเหตุอะไรที่ทำกับสามีถึงขั้นเสียชีวิตทั้งที่ทำงานด้วยและสนิทกัน แต่ไม่ได้รับคำตอบชัดเจน และเมินหน้าไม่ยอมสบตาตน ตอบเพียงสั้นๆ แบบไม่เต็มใจว่าขอโทษ โดยทางญาติทุกคนไม่ขออโหสิกรรมให้ ไม่ต้องการให้ไปขอขมาศพ และขอสาปแช่งให้ชดใช้กรรม เรียกร้องให้รับโทษประหารชีวิต

ส่วน นางโสมนา แจ่มมะโน อายุ 67 ปี ป้าผู้ตาย กล่าวว่า ญาติพี่น้องทุกคนทำใจไม่ได้ เพราะหลานชายเป็นที่รักชื่นชม เป็นความภาคภูมิใจของพี่น้องทุกคน ได้รับราชการดูแลแม่เพราะพ่อเสียชีวิต ส่วนน้องชายไปทำงานต่างประเทศ ตั้งแต่รู้ว่าหลานชายเสีย ได้เอารูปถ่าย ที่เก็บไว้มาดู ทั้งรูปในเครื่องแบบทหาร รูปแต่งงานมีครอบครัว ยังทำใจไม่ได้ เห็นทีไรร้องไห้ตลอดเวลา สงสารทั้งน้องสาวคือแม่ของผู้ตาย ทั้งครอบครัว ต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้ อยากให้คนก่อเหตุรับโทษให้สาสม และไม่ต้องการให้มาขอขมา ไม่ขออโหสิกรรมให้ ทำได้แม้กระทั่งน้องรักคนที่เคยสนิทสนมกินอยู่ด้วยกัน

นายสมพงษ์ บุญปัญจา เปิดเผยว่า ตนเป็นทนายอาสามาทำหน้าที่ตามสิทธิ์ผู้ต้องหาร้องขอมา จากการสอบถามผู้ต้องหา สารภาพว่าเป็นปมเหตุมาจากความไม่พอใจส่วนตัว เนื่องจากผู้ตายเป็นรุ่นน้องแต่ไม่เคารพรุ่นพี่ เป็นเรื่องศักดิ์ศรี จนเกิดความเครียดแค้นและเป็นอารมณ์ชั่ววูบ โดยทางผู้ต้องหายืนยันว่าไม่มีปัญหาอื่น เป็นแค่ความไม่พอใจส่วนตัว ส่วนการดำเนินคดียืนยันเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย เบื้องต้นเป็นข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา