28 พฤศจิกายน 2565 นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยอมรับว่า พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคน้องว่า ตราบใดที่ตัวโครงสร้างสมาชิกพรรค และกิจกรรมของพรรค เป็นไปตามกฎหมายถือว่ายังเป็นพรรคการเมืองอยู่ ดังนั้นบริบทของพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติไม่เข้าข่ายการควบรวมพรรคการเมือง
ซึ่งในสมัยอายุของสภาผู้แทนราษฎรการควบรวมพรรคการเมืองถือเป็นข้อห้ามตามกฎหมาย แต่มีหลายพรรคอาจใช้กลไกยุบพรรคตัวเองอย่างเช่น พรรคของ นายไพบูลย์ นิติตะวัน หรือกรณีที่พรรคการเมืองมีมติขับให้สมาชิกพรรคออก และสามารถหาพรรคสังกัดใหม่ภายใน 30 วัน สมาชิกภาพของสมาชิกที่เป็น ส.ส. ยังคงอยู่
นพ.ชลน่าน ระบุว่า มีความเป็นไปได้ในอนาคตที่ พรรครวมไทยสร้างชาติ กับพลังประชารัฐอาจจะมีการควบรวมพรรค หากการเดินหน้าทางการเมือง แล้วมีพรรคใดพรรคหนึ่ง ไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง อาจจะใช้กลไกต่างๆ ทางกฎหมายแล้วย้ายมาอยู่ร่วมกัน โดยเห็นว่าไม่ได้เป็นประเด็นอะไร หรือ ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไรเพราะอุดมการณ์และเป้าหมายทางการเมืองของ 2 พรรคคือเรื่องเดียวกันคือการสืบทอดอำนาจ และเรื่องดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับพรรคเพื่อไทย
ทั้งนี้พรรคเพื่อไทย ชี้ว่า การบริจาคเงินของนายทุนจีนให้กับพรรคพลังประชารัฐ เป็นหน้าที่การตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยพรรคเพื่อไทยเพียงติดตามความคืบหน้าเท่านั้น ไม่ได้ถึงขั้นไปยื่นร้องยุบพรรคพลังประชารัฐ แต่อาจมีการตรวจสอบว่า ผลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสำหรับการบริจาคเงิน ส่งผลไปยังรัฐมนตรีของพรรคการเมืองนั้น หรือไม่อย่างไร เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามหรือไม่โดยได้อธิบายเงื่อนไขการบริจาคเงินว่า
1.จะต้องไม่รับบริจาคจากบุคคลต่างด้าว
2.เงินที่รับบริจาค ต้องมีที่มาที่ไปที่ชัดเจน ไม่ใช่เงินที่มีที่มาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งกรณีนี้เป็นเหตุนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองหลายพรรคแล้ว