16 ตุลาคม 2565 "พรรคชาติพัฒนากล้า" ประชุมใหญ่สามัญเพื่อจัดทัพกรรมการบริหารพรรค สู้ศึกการเลือกตั้ง ปรับภาพลักษณ์องค์กร เริ่มจากการปรับโลโก้ของพรรคใหม่ โดยมีตัวอักษร ช.ช้าง รูปแบบทันสมัยจากการรวมกันของเส้นโค้งสองเส้นที่ทรงพลัง เส้นโค้งสีน้ำเงิน คันธนูอันเข้มแข็ง มุ่งมั่นสู่เป้าหมาย เส้นโค้งสีเหลืองทองแกมแสด เปลวไฟอันรุ่งโรจน์ โชติช่วงชัชวาล สีเหลืองทองแกมแสด แทนความรุ่งโรจน์จากความกระตือรือร้น มั่นใจ กล้าทำ กล้าลอง
พร้อมกับความอบอุ่นเหนียวแน่น สามัคคี ด้วยความสร้างสรรค์ที่ไม่มีวันสิ้นสุด สีน้ำเงิน แทนความสุขุม รอบคอบ หนักแน่น เปรียบดังการกระทำการใหญ่ต้องใช้ประสบการณ์ เมื่อ 2 เส้นโค้งที่มาตัดกันในจุดที่สมดุลที่สุด จึงเกิดเป็นตัว ช.ช้าง ที่ลายหาง ช.ช้าง มีทิศทางชี้ขึ้นข้างบน เสมือนหนึ่งเป็นเส้นกราฟพุ่งสูงขึ้น เพื่อสื่อความหมายชาติไทย ที่มีการพัฒนาสร้างสรรค์เศรษฐกิจ และเกิดความเจริญรุ่งเรืองในทุกมิติ อันเป็นผลมาจากนโยบายทางสายกลาง และความประนีประนอม ที่แสดงออกด้วยเส้นสีเหลืองทองแกมแสดและสีน้ำเงินที่โอบเกี่ยวคล้องกัน
"โลโก้ ชาติพัฒนากล้า ช.แทนความหมายถึง "ชาติ" ที่พร้อมจะ "พัฒนา" ให้เจริญรุ่งเรือง โชติช่วงดุจเปลวเพลิงชัชวาลที่ไม่มีวันดับได้นั้น ต้องอาศัยความ "กล้า" เป็นสำคัญ”
จากนั้น"นายเทวัญ ลิปตพัลลภ" ได้ลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรค และเสนอชื่อ "นายกรณ์ จาติกวณิช" ชึ้นเป็นหัวหน้าพรรค แทน ที่ประชุมลงคะแนนเลือก "นายกรณ์" เป็นหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ด้วยคะแนนเป็นเอกฉันท์ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค 30 ตำแหน่ง โดยมีตำแหน่งที่น่าสนใจจากทีมเศรษฐกิจของนายกรณ์เข้าร่วม ได้แก่ 1. นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรค 2. นายเทวัญ ลิปตพัลลภ เลขาธิการพรรค 3. นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรค 3.นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรค 4. ผศ.ดร.เอราวัณ ทับพลี รองเลขาธิการพรรค โดยนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ดำรงตำแหน่งประธานพรรค นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ประธานยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ และนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล เป็นผู้อำนวยการศูนย์ดำเนินการเลือกตั้ง โดยคณะกรรมการบริหารพรรคเดิมหลายตำแหน่งยังคงดำรงตำแหน่งเดิม
"นายกรณ์" กล่าวต่อที่ประชุมด้วยม็อตโต้ชัดเจนว่า "คนไทยต้องรวย เศรษฐกิจต้องดี" ชาติจะพัฒนาได้ ต้องกล้าเปลี่ยน เนื่องจากปัจจุบันด้วยสภาพปัญหาของประเทศไทย หลายคนตั้งคำถามว่า คนไทยกำลังจนลงใช่ไหม รายได้ที่ขึ้นตามไม่ทันเงินเฟ้อหรือเปล่า กินข้าวแต่ละมื้อ เติมน้ำมันแต่ละครั้งรู้สึกเหมือนถูกสูบเงินในกระเป๋า ยิ่งมีสถานการณ์โควิด และสงคราม ยิ่งซ้ำเติมประชาชน กลายเป็นมหาวิกฤตทางเศรษฐกิจ ที่ถ้าไม่แก้ไขอย่างเร่งด่วน ประเทศจะไปไม่รอด ในขณะที่ภาคการเมืองกลับไม่ได้สนใจปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจัง ความทุกข์ยากของประชาชน กลับกลายเป็นเรื่องท้ายๆ ที่นักการเมืองจะสนใจ
"นายกรณ์" กล่าวว่า ถึงเวลาแล้ว ที่เราต้องกล้าลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศใหม่ทั้งระบบ ต้องกล้าคิดในเรื่องที่คนอื่นไม่เคยคิด เราต้องสร้างงานใหม่ๆ นับล้านตำแหน่ง งานแห่งอนาคตที่จะสร้างรายได้ให้คนไทย ไม่ว่าจะ Creative Economy , การสร้างให้คนไทยเป็นเซลล์แมนขายของออนไลน์ไปทั่วโลก กล้าทำในเรื่องยากๆ ปรับการคำนวณฐานภาษีใหม่ ให้คนชนชั้นกลางจ่ายภาษีน้อยลง เพื่อเพิ่มเงินในกระเป๋า กล้าชนกับบริษัทยักษ์ใหญ่ รื้อโครงสร้างพลังงานใหม่ ให้คนไทยใช้พลังงานที่ถูกลงซึ่งเป็นต้นทุนของทุกอย่าง กล้าเปลี่ยนแปลงโดยการตั้งบริษัทเพื่อผลิตภัณฑ์การเกษตรแต่ละชนิด เช่น บริษัทข้าวหอม ให้มืออาชีพมาช่วยสร้างตลาด ชาวนาชาวไร่ทุกคนมีหุ้นอยู่ในบริษัท ซึ่งสามารถเข้าตลาดหุ้นได้ในอนาคต และสุดท้ายคือ กล้าตัดสินใจให้รัฐอยู่ในโทรศัพท์มือถือ ทำให้รัฐเล็กลงด้วยเทคโนโลยี หรือ Gov Tech ทำให้คนเข้าถึงได้ง่าย 24 ชั่วโมง เพื่อทำให้ประเทศคล่องตัว มุ่งไปข้างหน้าได้ไวขึ้น
"ผมเชื่อว่าคนไทยมีโอกาสที่ดีกว่านี้ได้ เป็นมนุษย์ทองคำ เหมือนคนในรุ่นผมเป็นได้ เหมือนสมัยผมกลับเมืองไทยมาตั้งบริษัทใหม่ๆ แค่ต้องมีความกล้า ที่จะเริ่ม และลงมือทำ คนไทยรวยได้ ชาติพัฒนาได้ ต้องกล้า เพราะพรรคชาติพัฒนากล้า กล้าด้วยประสบการณ์ ชาติพ้นวิกฤติ" หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวย้ำ
ด้าน "นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ" ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า อยากเห็นบ้านเมืองเดินหน้าฟื้นเศรษฐกิจ โดยพรรคชาติพัฒนากล้า ทำงานได้กับทุกพรรค
ชมคลิป >>>
คลิป 2 >>>