ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี “พักงานชั่วคราว” ระหว่างรอคำวินิจฉัยคำร้องของฝ่ายค้านที่เข้าชื่อ 171 คน ให้วินิจฉัยความเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ สิ้นสุดลงหรือไม่ เนื่องจากดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบกำหนดเวลา ตามมาตรา 170 วรรคสอง และมาตรา 158 วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
พร้อมเปิดโอกาสให้พล.อ.ประยุทธ์ ส่งคำชี้แจงภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง และหากไม่ชี้แจงภายในระยะเวลากำหนด จะถือว่าผู้ถูกร้องไม่ติดใจชี้แจงข้อกล่าวหา ซึ่งนักวิเคราะห์การเมืองได้กางไทม์ไลน์การทำงานของศาลรัฐธรรมนูญ คาดว่า จะทราบผลคำวินิจฉัยได้ไม่เกินเดือนกันยายนนี้ เนื่องจากเป็นข้อกฎหมาย คดีไม่มีความซับซ้อน ถึงขนาดมองข้ามช็อตหลังคำวินิจฉัยจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ??
ดร.ธนพร ศรียากูล นายกสมาคมรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวในรายการสุดกับหมาแก่ ทางเนชั่น 22 ว่า โอกาสที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะได้กลับมามีน้อยมาก แม้ท้ายที่สุดศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยในทางบวกหรือให้คุณว่ายังไม่ครบวาระ 8 ปี แต่สังคมส่วนหนึ่งเชื่อไปแล้ว ไม่ว่าจะนับตัวเลขกันอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ ทำงานในตำแหน่งดังกล่าวครบ 8 ปีแล้ว
ดังนั้น หากพล.อ.ประยุทธ์มีอันเป็นไป ต้องมีการเลือกนายกฯใหม่ตามบัญชีรายชื่อ แต่ส่วนตัวเชื่อว่าไม่สามารถสรรหาได้ อาจจะนำไปสู่การเลือกในก๊อกสองคือนายกฯคนนอก โดยผู้ที่เหมาะสมที่สุดคือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เนื่องจากบุคลิกเข้าได้กับทุกฝ่าย และไม่มีทางที่พรรคการเมืองอื่นๆ โดยเฉพาะฝ่ายค้านจะยอมให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกฯตามบัญชีรายชื่อในก๊อกแรกอย่างแน่นอน เพราะเกรงว่าจะใช้ตำแหน่งในการเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคภูมิใจไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้า
ดร.ธนพร กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้จะอยากเป็นนายกฯมากแค่ไหน แต่นายอนุทิน ก็คงจะไม่ออกแรงให้ตัวเองเข้าวินในช่วงนี้ เพราะเป็นระยะเวลาสั้นๆ ดังนั้นโอกาสจึงมาตกอยู่ที่พล.อ.ประวิตร แบบเต็มๆ
ขณะที่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้ประสานงานกลุ่มแคร์ อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย เห็นพ้อง เป็นไปได้ยากมากที่นายอนุทิน จะได้นั่งเก้าอี้นายกฯตามบัญชีรายชื่อ เพราะต้องใช้เสียงสนับสนุนมากถึง 376 เสียง อีกทั้งพรรคอื่นก็คงไม่ยอม เพราะเป็นการติดปีกให้พรรคภูมิใจไทย ขณะที่พล.อ.ประวิตร หากจะนั่งเก้าอี้นายกฯคนนอก ก็ต้องผ่านด่านหินเช่นกัน ต้องอาศัยเสียงสนับสนุนจากสองสภามากถึง 500 เสียง
นพ.สุรพงษ์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่ตนเป็นห่วงมากที่สุด คือการเกิดสุญญากาศทางการเมืองหากพล.อ.ประยุทธ์ ถูกตอกฝาโลงถาวร เพราะยังต้องมาตีความกันอีก คนนั่งรักษาการนายกฯสามารถยุบสภาได้หรือไม่ ประกอบกับกฎหมายลูกที่จะใช้เลือกตั้งยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ สุดท้ายอาจจะนำพาการเมืองไปสูเดดล็อก จนกระทั่งนำไปสู่นายกรัฐมนตรีนอกลิสต์ที่เป็นคนอื่น นอกเหนือจากพล.อ.ประวิตร ซึ่งถ้าสังคมทุกฝ่ายยอมรับก็จะผ่านไปได้ แต่ถ้าไม่ยอมรับปัญหาหาอื่นก็จะตามมาอีกเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม สำหรับบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ 2560 ในมาตรา 272 วรรคสอง เขียนว่า หากมีกรณีไม่อาจแต่งตั้งนายกฯ จากบุคคลที่เป็น "นายกฯในบัญชี" ของแต่ละพรรคการเมืองได้ สมาชิกทั้ง 2 สภา (ส.ส.-ส.ว.) รวมกันเท่าที่มีอยู่ สามารถเข้าชื่อต่อประธานรัฐสภา ให้รัฐสภามีมติยกเว้นไม่ต้องเสนอชื่อ นายกฯในบัญชี ของแต่ละพรรคได้ หลังจากนั้นประธานรัฐสภาต้องจัดให้ประชุมร่วม ส.ส. และ ส.ว. หากมีมติไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ให้ยกเว้นได้ ก็ให้ดำเนินการโหวตนายกฯ โดยจะเสนอชื่อผู้ที่เป็น นายกฯในบัญชี ของแต่ละพรรคการเมืองหรือไม่ก็ได้