
29 กันยายน 2568 ขแมร์ ไทม์ส ของกัมพูชา รายงานว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจกัมพูชาในปี 2025 ถูกบดบังด้วยปัญหาเรื่องการค้า ความตึงเครียดในภูมิภาค และความเปราะบางทางการเงินในประเทศที่เพิ่มขึ้น ซึ่งนับเป็นเรื่องที่น่ากังวลเป็นพิเศษ เนื่องจากกัมพูชาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจที่อ่อนแอที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาอย่างยาวนาน
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชาในปี 2025 ลงเหลือ 4.8% จาก 6% ในปี 2024 โดยการชะลอตัวนี้ส่วนใหญ่เกิดจากผลกระทบของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และข้อพิพาทบริเวณชายแดน ซึ่งไม่เพียงแต่ยากต่อการประเมินเท่านั้น แต่ยังอาจสร้างความเสียหายได้มากกว่าด้วย
แต่รายงานซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของตระกูลฮุน ได้พยายามกลบเกลื่อนว่า IMF ชื่นชมว่าการทูตอันชาญฉลาดของกัมพูชา ในการขอลดอัตราภาษีศุลกากรสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ และการดำเนินการเชิงรุกของธนาคารแห่งชาติกัมพูชา ในการปรับปรุงกรอบการทำงานและการส่งเสริมการลดการใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อาจช่วยบรรเทาปัญหาได้บ้าง
รายงานยังอ้างผู้เชี่ยวชาญด้วยว่า ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลง กัมพูชาจำเป็นต้องรวมการสนับสนุนทางการคลังที่กำหนดเป้าหมายกับการปฏิรูปโครงสร้างเพื่อปกป้องเสถียรภาพและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
แต่สภาพความเป็นจริง กัมพูชาเผชิญตัวเลข GDP ที่ร่วงไม่หยุด หนี้เสียพุ่ง 7% หนี้ประชาชนกู้ยืมธนาคารทะลุเพดานเงินเฟ้อแตะ 3% การท่องเที่ยวก็ฟุบ การส่งออกยิ่งแล้วใหญ่ และยิ่งมีปัญหาพิพาทกับไทย ก็ยิ่งย่ำแย่ และอาจเสียหายมากกว่านี้ในอนาคต ซึ่ง IMF ระบุว่า แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 4.8% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อปีที่แล้ว แต่ส่วนหนึ่งก็บรรเทาลงได้ด้วยการใช้มาตรการทางการทูตในการลดอัตราภาษีศุลกากร
หนี้เสีย (NPL) ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทะลุ 7% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคการท่องเที่ยว ที่ยังไม่มีแนวโน้มพยุงตัว ความเสี่ยงต่อมาคือหนี้ภาคเอกชนที่สูงและการผิดนัดชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อการบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนภาคธุรกิจ ส่งผลให้เกิดความเครียดทางการเงินในวงกว้างมากขึ้น
IMF ย้ำว่า กัมพูชาต้องเร่งปฏิรูปโครงสร้างหากต้องการรักษาความสามารถในการแข่งขันและเตรียมพร้อมสำหรับการก้าวออกจากการเป็นประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDC) ภายในปี 2572