
13 กันยายน 1568 ตัวแทนบริษัทเอกชนในกัมพูชา ร้องเรียนไปยังหน่วยงานปราบปรามอาชญากรรมและการฉ้อโกงในกัมพูชา จากการที่มีมิจฉาชีพชาวต่างชาติ หลอกใช้ธนบัตรดอลลาร์ปลอมสั่งซื้อสินค้า โดยตอนแรกบริษัทที่ตกเป็นเหยื่อ ได้ขอให้เปิด L/C (Letter of Credit) ซึ่งเป็นสัญญาการชำระเงินมาตรฐาน หรือให้โอนเงินผ่านธนาคารเพื่อรับประกัน แต่มิจฉาชีพได้พยายามบ่ายเบี่ยงและใช้ข้ออ้างสารพัด โดยเฉพาะการบอกว่าถ้ายอมให้จ่ายเงินสด ก็จะเพิ่มเงินให้เกินกว่าราคาสินค้า
หนึ่งในบริษัทที่ได้รับความเสียหายระบุว่า มีน "นักลงทุนต่างชาติผิวสี" มาติดต่อขอซื้อสินค้าเป็นพริกไทยกำปง เพื่อส่งออกไปขายต่างประเทศ และได้มีการตกลงราคาและเงื่อนไขกันเรียบร้อย แต่เมื่อมาตรวจสอบเงินดอลลาร์จำนวน 7 ล้านดอลลาร์ ที่ได้รับมา ก็พบว่าเป็นธนบัตรปลอมที่ปนมากับธนบัตรจริง โดยแม้บางส่วนเป็นธนบัตรจริง แต่ส่วนที่เป็นธนบัตรปลอมนั้นชัดเจนมาก แต่กว่าจะพบสินค้าก็ถูกส่งออกไปเรียบร้อยแล้ว
ส่วนบริษัทที่สอง ที่ไม่ได้เปิดเผยประเภทของธุรกิจ ระบุว่า หลังจากตรวจสอบเงินสดที่นักลงทุนต่างชาตินำมาจ่ายชำระเป็นค่าสินค้า ก็พบว่า เป็นธนบัตรปลอม มีมูลค่าความเสียหายประมาณ 10 ล้านดอลลาร์
ด้านหน่วยงานป้องกันอาชญากรรมและสแกมเมอร์ ได้แต่เตือนประชาชนว่า "ไม่มีใครที่จะนำเงินมาให้ฟรีๆ หรือมีผลประโยชน์ดีๆ มาให้ โดยไม่ได้อะไรเลย สิ่งเหล่านี้มักจะเป็นการหลอกลวงทางอาชญากรรมที่น่าอัปยศ เราต้องรู้ทันและตรวจสอบทุกอย่างด้วยตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจหลงเชื่อหรือทำสัญญาใดๆ" และยังทิ้งท้ายด้วยว่า "ขอประณามชาวต่างชาติที่มาหลอกลวงให้คนกัมพูชาต้องเจ็บช้ำและ ทำให้คนกัมพูชาต้องเดือดร้อนจากการถูกฉ้อโกง"
สาเหตุที่บริษัทเหล่านี้ ตกเป็นเหยื่อได้โดยง่าย มาจากแรงจูงใจที่มิจฉาชีพเสนอให้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามูลค่าสินค้าอยู่ที่ 9 ล้านดอลลาร์ แต่ถ้ายอมรับเงินสด ก็จะเพิ่มให้เป็น 10 ล้านดอลลาร์ ซึ่งต้องยอมรับว่า ความโลภมีส่วนสำคัญที่ทำให้ตกเป็นหยื่อ ซึ่งล่าสุด สามารถจับกุมมิจฉาชีพได้แล้ว 2 ราย แต่เชื่อว่ายังมีอีกหลายราย และผู้เสียหายก็น่าจะมีเป็นจำนวนมาก